Village Life: สุนัขของเราตาย
เราจะทำอย่างไร?
คนไทยสมัยนี้หลาย
ๆ คน เลี้ยงหมาเป็นเพื่อนคล้ายกับพวกฝรั่ง
ไม่ได้แตกต่างจากฝรั่งสักเท่าใด
เว้นแต่ว่ายังทำใจไม่ค่อยได้เรื่องการที่จะพาหมาไปหาสัตว์แพทย์ให้ช่วย “put to sleep” เมื่อหมาป่วยหนัก
หรือหมาทุกข์ทรมานจากโรคที่รักษาไม่ได้ เช่น มะเร็งขั้นสุดท้าย ฯลฯ
เรื่องนี้ผู้เขียนทำใจได้มานานแล้ว และตลอดมาก็เคยปฏิบัติมาแล้วสองสามครั้ง
เพราะไม่มีทางอื่นที่จะช่วยเขาแล้ว
และเคยถามสัตวแพทย์ที่โรงพยาบาลสัตว์ที่มีชื่อเสียง ของมหาวิทยาลัยมหิดล
ว่าเขามีวิธี มีขั้นตอนกันอย่างไร
เขาบอกว่าเขาจะฉีดยาให้หมานอนหลับก่อน
นี่เป็นวิธีการที่มีมนุษยธรรม เมื่อหมานอนหลับสบายแล้ว
จึงฉีดยาให้หัวใจหยุดเต้น วิธีการนี้เท่าที่ทราบ
เขาก็ทำเหมือนกันทั่วโลก
พวกฝรั่งเขาก็จะร้องห่มร้องให้อำลาหมาของเขาเวลาพาไปหาสัตวแพทย์เพื่อ put
to sleep หรือบางทีเขาก็มีวิธีพูดดีกว่านี้ แต่ผู้เขียนจำไม่ได้
เมื่อเร็ว
ๆ นี้หมาของผู้เขียนตายลง เพราะโดนยาเบื่อหมา
ในหมู่บ้านชนบทอย่างบ้านผู้เขียน
เราไม่ได้อยู่กันอย่างมีรั้วรอบขอบชิด
สุนัขก็ไปเที่ยวเล่นตามใจในเรือกสวน แล้วก็มีสิทธิที่จะล่วงล้ำเข้าไปในที่ของคนที่เขาไม่ได้รักหมา
หรือเขาเลี้ยงไก่ชน ที่มีราคาตัวละนับพันนับหมื่นบาท บางทีหมาบ้านอื่นที่เจ้าของหมาไม่เอาใจใส่ อด ๆ
อยาก ๆ ก็ไปรบกวนไก่ชนที่เขาเลี้ยงไว้
เขาก็จำเป็นต้องกำจัดหมาที่เข้าไปรุกราน รบกวนบ้านเขา ซึ่งบางทีก็ไปขโมยใข่ไก่
หรืออาหารในบ้านที่มีครัวไฟอยู่นอกตัวบ้าน
ด้วยยอมรับข้อเท็จจริงตามสภาพความเป็นอยู่
ที่เป็นอยู่จริง ดังเล่าให้ฟังตอนต้น ๆ สาเหตุการตายของหมาจึงไม่สู้กระไรนัก ความเจ็บปวด ความเศร้าโศก
จากการพลัดพรากจากสิ่งที่รักตามคำพระสอน สำคัญกว่า และเป็นเรื่องใหญ่โตกว่ามาก
เพราะเราเลี้ยงหมาค่อนข้างจะแบบฝรั่งนั่นเอง คือเป็นมิตรสนิทใกล้ชิดตัว
ในการต้อนรับน้องใหม่ในมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ
ที่ผู้เขียนเคยไปเรียน เคยเห็นรุ่นพี่เขาชูแผ่นป้ายต้อนรับนักศึกษาใหม่ว่า “เดินหน้าเข้ามาเลย อย่าห่วงหลัง Your parents have replaced you with a
dog.”
เนื่องจากความใกล้ชิดติดตัวกับหมาสุดที่รักของเรา
การจากไปของเขาจึงมีผลกระทบทางจิตใจต่อเรามาก
เป็นธรรมดามนุษย์ที่เราจะต้องหาทางเยียวยา
ทุกวันนี้มีโปรแกรมนานาในยูทูบที่ว่าด้วยเรื่อง grief and bereavement ที่เกิดจากการพลัดพรากจากหมาของเรา ซึ่งผู้เขียนก็ได้อาศัยโปรแกรมเหล่านั้นช่วยปลอบใจ
และช่วยเยียวยาจิตใจ
บางทียังใช้โปรแกรมที่เขาสร้างขึ้นมาเกี่ยวกับการสูญเสียคนใกล้ชิด
ที่รักกัน โปรแกรมพวกนี้มีสูตร
ขั้นตอนสำเร็จซึ่งนักจิตวิทยาผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งวางไว้นานมาแล้ว ผู้เขียนเห็นว่ายังคงใช้ได้ดี
และช่วยปลอบประโลมใจได้
ท่านผู้อ่านจะพบโปรแกรมเหล่านี้ได้ทั่วไป เพียงเขียนคำว่า pet loss
เขียนเรื่องนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงนักเขียนรุ่นเก่า
ท่านเป็นนักหนังสือพิมพ์ด้วย ครั้งหนึ่งหมาของท่านหายไปจากบ้าน(ในกรุงเทพฯ) ท่านก็เขียนคร่ำครวญในหน้าคอลัมน์ของท่าน ท่านเป็นนักเรียนอังกฤษ
ท่านก็คงจะติดนิสัยรักหมาแบบฝรั่ง
แต่ใช่ว่านักเรียนอังกฤษทุกคนจะรักหมา มีนักเรียนอังกฤษที่มีชื่อเสียง
เป็นนักเขียนและปัญญาชน เช่นเดียวกับท่านหม่อมป้า
แต่เขาไม่รักหมาเท่า หรืออาจจะไม่รักหมาเลยด้วยซ้ำ เขาใช้นามปากกาว่า “สอ ษิวะลึงค์”
ประเด็นก็คือ
ท่านว่า เวลาหมาเราตาย เราอย่าเล่าให้คนที่เราไม่แน่ใจว่าจะรักหมาเท่าเราฟัง ผู้เขียนยึดหลักดังกล่าวนี้
คือจะไม่ไปเที่ยวพูดให้ใครต่อใครที่ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า เขาจะรักหมาเท่าเรา(หรือ
มากกว่าเรา) ฟัง ผู้เขียนจะหุบสนิท แม้แต่กับญาติพี่น้องก็จะบอกกับคนที่เขารักหมาเท่านั้น
ด้วยเหตุผลอะไร? เพราะเรากลัวครับ
กลัวคำปลอบประโลมใจจากพวกเขา คำปลอบใจจากคนที่เขาไม่ได้รักหมาเท่าเรานั้น รังแต่จะเป็นการซ้ำเติมความชอกช้ำกะหล่ำปลี
ให้กับเรา เช่น บางคนอาจปลอบว่า หมาตัวเดียวจะไปเสียใจอะไรนักหนา เดี๋ยวจะหามาให้ใหม่
เป็นต้น
ไม่มีหมาตัวใหม่ตัวไหน
จะมาแทนที่หมาของเรา ที่ตายจากเราไป ได้ดอก
และการมองว่า หมาเราเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น
นั่นเป็นการมองที่โหดร้ายต่อจิตใจเรามาก
หมาเรามันอยู่ติดตัวเรา รู้ใจเราทุกอย่าง และเลี้ยงไว้ในบ้านด้วยซ้ำ บางทีเราแก้ผ้ามันยังเห็นเลย...
การพลัดพราก
จึงนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานยากจะพรรณนา
ซึ่งคนอย่าง “สอ ษิวะลึงค์” จะไม่เข้าใจและไม่เห็นใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น