พระท่านว่า การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
เป็นทุกข์
คำว่า
“สิ่ง” ในที่นี้ท่านไม่ได้หมายความถึงสิ่งของ หรือเครื่องใช้ในบ้าน เช่น
เครื่องดูดฝุ่น หรือไม้กวาด หรือเครื่องซักผ้า
ซึ่งในสามสิ่งนั้นที่บ้านผู้เขียนมีอยู่อย่างเดียว คือ ไม้กวาด
การพลัดพรากจากสิ่งมีชีวิต
เช่น คนหรือสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รัก น่าจะนำความทุกข์อย่างสาหัสมาสู่เรา หลังจากผ่านกระบวนการจัดการความสูญเสีย หรือจัดการความทุกข์อันเกิดจากการพลัดพราก
มาแล้ว เช่นในกรณีสัตว์เลี้ยงตาย ซึ่งหลาย ๆ คนเสียใจกว่าคนตายเสียอีก เราได้อาศัยซอฟต์แวร์ หรือโปรแกรม จำพวก pet loss หรือ loss
เฉย ๆ มาช่วยดูแลรักษาใจ
คำถาม
หรือ ปริศนา ต่อมาที่จะช่วยให้เราก้าวหน้าต่อไป ตลอดจนเยียวยาได้สนิทขึ้น
ได้แก่การรู้จักตอบปริศนาเรื่องชีวิตภายหลังการสูญเสีย หรือชีวิตภายหลังพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
ซึ่งไม่ใช่เครื่องซักผ้า หรือไม้กวาด
How to thrive
in the life after loss?
ผู้รู้ท่านหนึ่งท่านตอบเอาไว้
ผู้เขียนได้นำมาปฏิบัติจนเห็นผล(ดี) จึงขอแบ่งปันกับมิตรสหายดังนี้ครับ
เบื้องประถม
ท่านว่า เราต้องหาทางที่จะมีชีวิตที่มีความหมาย หรือ a meaningful life โดยท่านบอกมาเสร็จเลยว่า
ชีวิตที่มีความหมายคือชีวิตเช่นไร ท่านว่าเป็นชีวิตที่มีวัตถุประสงค์ หรือเจตนา
จะรับใช้อะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง ไม่ใช่จมปลักอยู่แต่กับ “ตัวกู
ของกู” จะต้องใหญ่โตกว่าตัวตนของเราเอง
เบื้องมัธยม
ท่านว่า ต้องคิดใหม่ทำใหม่เกี่ยวกับญาติมิตร คือ
ให้แวดล้อมตัวเราด้วยสัมพันธภาพที่เป็นเชิงบวก ไม่ใช่พวกที่ชวนกันไปลงนรก สัมพันธภาพเชิงบวกคืออย่างไร
ก็คือคบคนที่เขาปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา เกิดแก่เรา ภาษาประกิตว่า people who want what is best for you นั่นแหละพี่
สัมพันธภาพเชิงบวก
โห สุด
ๆ เลย หาง่ายซะเมื่อไหร่ แต่ถ้าเราเป็นคนดี
หรือคนเลวแต่โชคดี เราจะได้เจอคนที่ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา
เกิดแก่เรา
ส่วนพวกนรกแตกทั้งหลายท่านเรียกว่า toxic
people คือ คนเป็นพิษ เราต้องรู้จักเลี่ยง
เรื่องนี้พ่อแม่ก็ทำให้เราไม่ได้ เราต้องรู้จักทำเอาเอง
เบื้องอุดม
ท่านว่า ให้รู้จักประเมินพละกำลังแห่งตน
แล้วหาสมดุลระหว่างพละกำลังตนกับความรักความชอบของตน การประเมินกำลังตนนั้นท่านว่าต้องพยายามรู้ให้ได้ว่า
จุดแข็งของเราอยู่ที่ไหน คืออะไร เรามีกันทุกคนเพียงแต่หลายคนไม่รู้ตัว ส่วนความรักความชอบนี่ไม่ใช่ความถนัดนะ
นั่นมันเรื่องของเด็กช่าง นี่เรากำลังคิดเรื่องศิลปะของชีวิต กำลังคิดเรื่อง art ไม่ได้คิดเรื่อง craft
สมดุลระหว่างกำลังตนกับความรักความชอบ(passion)ของตน
จะทำให้ชีวิตเรามีผลต่อสิ่งแวดล้อม(ในทางที่ดี)
สรุป
-- ท่านว่า การคิดคำนึงประเด็นเหล่านี้ จะช่วยเรา ในยามยากและระกำลำบาก ประกิตว่า when things get tough and times get
hard
สนใจ VillageLife บทอื่น ๆ คลิกนี่เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น