คนเป็นพิษ ตอน 3/4
ที่ยากกว่าการตัดขาด
ก็คือ ตัดไม่ได้ขายไม่ขาด โห นี่กรณีแบบนี้โคดยากเลย
ที่เวลาวีดีโอ 19:50 ท่านสอนว่า ถ้าเราไม่อยู่ในฐานะตัดขาดได้ เราควรทำอย่างไร?
ท่านเสนอให้หาวิธี
หาทางบรรเทาทุกข์ ลดทอนผลเสีย ผ่อนความเสียหาย
ที่คนเป็นพิษจะก่อให้เกิดแก่ชีวิตเรา
ซึ่งในบทความบท
“วิธีจัดการ กับมนุษย์เป็นพิษ สูตร2” นี้ ผู้เขียนจะสรุปวิธีบรรเทาทุกข์
ลดทอนความเสียหาย ที่ท่านอาจารย์สอนไว้ ในวีดีโอตั้งแต่เวลาประมาณ 19:50 โดยผู้เขียนจะละเว้น ไม่พูดถึง
“การตัดทิ้ง” ในช่วงต้นวีดีโอ
โดยสรุป
ท่านอาจารย์สอนวิธีบรรเทาทุกข์ บรรเทาพิษ และลดทอนผลเสีย ไว้ 4 วิธี ดังนี้
อาจารย์ ลีโอ
วิธีที่หนึ่ง
แก้ไขในทางยาว หรือ long
term solution
ท่านบอกว่า
เราต้องนั่งลง สงบสติอารมณ์ แล้วให้ยกร่าง ออกแบบชีวิตเสียใหม่ – ต้อง re-design your life กันเลย
ทำขนาดนั้น และยอมเสียเวลา - แต่ต้องทำ
ซึ่งผู้เขียนเองก็เคยทำมาแล้วครั้งสองครั้ง คือ ยกร่าง
ออกแบบชีวิตตัวเองเสียใหม่(redesign หรืออาจจะ re-engineering
your life) จากประสบการณ์ส่วนตัว ขอยืนยันว่า
วิธีนี้ที่อาจารย์ลีโอสอน ใช้ได้ครับ ดีมากด้วย แต่ตัวเราจะต้องมีมานะอดทน เพื่อผลดีระยะยาว
ชีวิตที่ออกแบบใหม่ของเรา
หรือยังคงรูปเดิมแต่จัดระบบภายในเสียใหม่(re-engineering) จะไม่อ่อนไหวต่อพิษร้าย และไม่ต้องพึ่งพาอาศัยคนเป็นพิษอีกต่อไป(ในระยะยาว)
คบหาสมาคมแต่กับ non-toxic people
เมื่อครั้งที่ผู้เขียนกำลังอยู่ระหว่างออกแบบชีวิตตัวเองใหม่ครั้งสองครั้งนั้น
แต่ละครั้งผู้เขียนไม่เคยแพร่งพรายให้คนเป็นพิษมันรู้ คือเรา completely
shut-up อีกนัยหนึ่ง “หุบสนิท”
พอเราเปิดตัวอีกที เราก็เป็นมนุษย์ผู้มีชีวิต ที่ไม่เหมือนเก่าแล้ว
สดใสใหม่ถอดด้าม คนเป็นพิษมันเคยคอมเม้นต์ผู้เขียน
ว่างัยรู้มั๊ย? มันบอกว่า “ยังกะถูกล็อตเตอรี”
ผู้เขียนอยากจะต่อประโยคให้มัน ว่า “...ที่หลุดออกจากเงื้อมตีนโสโครกของมึง
ได้อย่างงดงาม คาดไม่ถึง”
วิธีที่สอง
ท่านแนะให้หรี่ ช่องรูที่ใช้รับสัญญาณ จากคนมีพิษ
ให้ลดลงสัก
50%
วิธีนี้
อย่างน้อย จะทำให้ร่างกายจิตใจเราได้รับสารพิษลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง
ซึ่งก็ไม่เลวเลย เช่น แต่ก่อนเคยแหลกะมันวันละสองชั่วโมง
ก็ให้ลดแหลลงเหลือชั่วโมงเดียว หรือส่งข้อความให้กันวันละสี่ข้อความ
ก็ให้ลดเหลือส่งกันแค่วันละสองข้อความ พอ
อาจารย์ท่านเตือนไว้ตอนต้น
ๆ ว่า องคาพยพระบบจิตใจของเรา ที่ประมวลกันเข้าเป็นตัวเราในแง่จิตวิญญาณนั้น การวิจัยทางจิตวิทยาพบว่า
ตัวตนทางจิตใจของเราจะได้แก่ ค่าเฉลี่ยผลรวมของจิตวิญญาณคน 5
คนที่เราคบหาสมาคมสนิทสนมในขณะใดขณะหนึ่ง แล้วถ้าเราคบคนเป็นพิษไว้สองสามคน
ตัวเราจะเป็นอย่างไร? พิษเพียบเลย อ้วกแตก
วิธีที่สาม
หาทางเพิ่มคนที่จิตใจเป็นบวก เข้ามาในชีวิต
วิธีนี้
จะช่วยเรื่องค่าเฉลี่ย ในกรณีที่เราตัดไม่ได้ขายไม่ขายกับคนเป็นพิษ เมื่อเราเพิ่มคนปลอดพิษ หรือ non-toxic people เข้ามาในชีวิต
ความเป็นบวกโดยเฉลี่ยในชีวิตเราจะเพิ่มขึ้น
โลกยุคนี้
การคบหาสมาคมไม่ยากมากเหมือนแต่ก่อน – ในยุคดั้งเดิมคนที่เราคบ จะต้องเป็นคนที่พบหน้าค่าตากันจริง
ๆ(face-to-face) สมัยนี้โลกโซเชียลมีเดีย
หรือสี่อสังคม ช่วยเราได้ เราสามารถพบคนดี
ๆ ในโซเชียล มีเดีย ได้ (แต่ขณะเดียวกัน คนเหี้ย ๆ ก็เยอะ ซึ่งเราโต ๆ ระดับหนุ่มเต็มตน
ขนเต็มตูดกันแล้ว เราน่าจะรู้จักแยกแยะ)
การเข้าอินเตอร์เนต
เพื่อพบปะคนคิดบวก หรือเข้าไปอ่านข้อเขียนของเขา - ที่บลอคเขา หรือชมยูทูบเป็นบวก
สร้างสรรค์ ของเขา หรือชมยูทูบชนิดให้กำลังใจคน
เหล่านี้จะช่วยเพิ่มค่าเฉลี่ยเชิงบวก ให้กับชีวิตเรา อีกทางหนึ่งก็คือ การหาหนังสือดี ๆ มาอ่าน
หนังสือดี ๆ จะเป็นเพื่อนที่ดีของเรา เติมคุณค่าแก่เรา
และช่วยเพิ่มค่าเฉลี่ยเชิงบวกให้แก่จิตใจเรา
วิธีที่สี่
- วิธีสุดท้าย วิธีปฏิบัติ ขณะที่เหตุการณืกำลังร้อนระอุ
What do you do
in the heat of the moment?
ท่านว่า
อย่าได้ข้องแวะ เกี่ยวข้อง รับรอง รับเรื่อง พยักหน้า ทั้งในแง่จิตใจ ร่างกาย
หรือวาจา หมดเลยกาย-วาจา-ใจ ครบสูตรพระ อย่าข้องแวะ กระแซะเข้าไปใกล้มัน ให้ยุติการปฏิสัมพันธ์ทุกชนิด
การปฏิบัติสมาธิ จะช่วยได้ เช่น
ทำสมาธิทุก ๆ เช้า ๆ ละ ห้าหรือสิบนาที ไม่ต้องมากมาย แต่ให้ทำประจำ เพื่อดำรงคงใจให้นิ่งเข้าไว้
เทคนิคอีกอย่าง ท่านให้เรียนรู้ที่จะ
ไม่มีปฏิกิริยา แต่ให้มีการตอบสนอง อย่าได้ react
แต่ท่านให้มี response
การมีปฏิกิริยา
ก็เหมือนที่สุนทรภู่สอนว่า “ใครรัก
รักมั่ง ชังชังตอบ”
เป็นการแสดงปฏิกิริยาตอบกลับ ตอบโต้ หรือศอกกลับ หรือตอกกลับ
ซึ่งเป็นความประพฤติที่ไม่ควรทำ ระหว่างที่เหตุการณ์กำลังร้อน
แต่สุนทรภู่ท่านสอนต่อว่า “ให้รอบคอบ
คิดอ่าน นะหลานหนา” คำสอนนี้ดี ใช้ได้
และนี่ก็คือการ response
คือว่า คิดก่อนแล้วจึงทำ(จึงตอบ) ส่วน reaction หรือมีปฏิกิริยานั้น คือว่า (ตอบกลับ)ทำโดยไม่ได้ยั้งคิด
อาจารย์ผมดกปรกเกศีของเรา
ท่านยกอุทาหรณ์เรื่องหยูกยาขึ้นมาสาธยาย
เวลาหมอให้ยา ถ้าร่างกายเรา
“มีปฏิกิริยา” ต่อยา ก็จะก่อให้เกิดผลลบข้างเคียงขึ้นมา โดยที่โรคภัยไม่หาย แต่ถ้าร่างกาย “ตอบรับ” กับยา
ก็จะไม่สร้างผลข้างเคียง(side
effect) ยานั้นเข้าไปรักษาโรค
นี่คือความแคกต่างระหว่าง REACTION กับ RESPONSE
อนึ่ง ความจำเป็นที่ชีวิตเราต้องการบทเรียนชีวิตบทใหม่
ๆ มาเพิ่ม ความจำเป็นนี้จะปรากฏชัดระหว่างเผชิญเหตุการณ์กำลังร้อน เราจะได้รู้ว่าเรายังพร่องอะไรบ้าง
เราจะต้องเติมเต็มในส่วนใด อันนี้จะมองว่าเป็นอานิสงส์
ของการที่ได้เผชิญกับคนเป็นพิษ - ก็อาจจะได้กระมัง?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น