ไม่ได้กำลังจะพูดถึงปัญหาสังคมนะ
เรื่องแบบนั้นน่าจะอยู่เหนือขั้นและเหนือชั้นผม -- it is above my
paygrade.
จะเขียนเรื่องที่ตนเองมีประสบการณ์
ประสบพบเห็น คือมีญาติสนิทตายเพราะเหล้าตั้งแต่อายุเขาไม่มากนัก คือเขามึนเมา
แล้วจอดรถมอร์ไซด์นั่งซ่อมอยู่บนถนนหลวงสายหลัก - คิดดู ก็เลยถูกรถทัวร์ทางไกลเอาไปแดก
มิตรสนิทเพื่อนบ้านคนหนึ่งเวลานี้ แกก็มึน ๆ ประจำ แกโดนรถยนต์ชนมอร์ไซด์ของแกบนทางหลวงชนบท
และในเมือง(ตัวอำเภอ) มาแล้วสองครั้ง คนในหมู่บ้านแทบไม่มีใครกล้าซ้อนมอร์ไซด์แกอีกแล้ว
แต่ผู้เขียนยังกล้านั่งซ้อน-ในบางครั้ง
แล้วก็มีผู้หวังดีเตือนว่า นั่นมึงยัง หาญ (ภาษาใต้ แปลว่า กล้า)นั่ง มอร์ไซด์มันอีกหรือ.....
ความมึนเมาที่ถูกกะตังมากที่สุด
และถูกต้องตามกฎหมาย คือ เหล้าขาวขวดเล็ก ราคาประมาณสามสิบบาทเศษ
เบียร์ขวดหนึ่งแถวบ้าน-ร้านค้าในหมู่บ้าน ขายขวดละประมาณสี่สิบบาท
ป๋องเดียวกินแล้วไม่เมา แต่คนบางคนเขากินเบียร์เอา “สถานภาพ” – status
คล้าย ๆ กับว่าคนกินเบียร์เป็นคนระดับ “นาย” (-พวกข้าราชการ
ภาษาบ้านผมเรียกข้าราชการว่า “พวกนาย”) กะตังไม่ค่อยมีก็ซื้อขวดเดียวพอ ค่อย ๆ กินแล้วกัน
การได้ถือป๋องเบียร์เดินไปเดินมาเป็นส่วนหนึ่งของการอวด “สถานภาพ” ส่วนถ้ากินเหล้าขาวขวดเล็กขวดเดียวสามสิบกว่าบาท
สำหรับบางคนอาจมีสิทธิไม่เมานะ - ผมว่า
ตอนอยู่ ’เมกา ที่ชิคาโก ใกล้มหาวิทยาลัยมีร้านผับ เป็นร้านผับของชุมชน ชุมชนนั้นชื่อ
Hyde Park ไม่ได้อยู่ลอนดอนนะ แต่อยู่เมืองชิคาโกด้านใต้ –
ดินแดนโคดเถื่อน จนเดี๋ยวนี้ก็ยังโคดเถื่อน คือร้านดังภาพ (เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อแล้ว
แต่ก็ยังเป็นร้านเดิม)
ตอนเรียนจบโท เรา-นักศึกษาต่างชาติ-ก็ไปเมากันที่นั่น
กะแดกให้เมาอย่างเดียว พอมึน ๆ แล้วโม้อร่อยดี ทุกคนพูดเก่งหมด ผมเมามากจนสติเสีย
เพื่อน ๆ หิ้วปีกมาส่งที่หอพัก คนเอเชียกินเหล้าเบียร์เพื่อเมานะ เท่าที่สังเกตดู
ต่อมา
มาเรียนที่ฝรั่งเศส ทีนี้ละมึง-ไม่ใช่นักศึกษาเมาอย่างเดียว อาจารย์ก็เมาด้วย
คณบดีผมท่านหน้าแดงก่ำ เวลาเข้าสอนชั้นเรียนภาคบ่าย คือท่านร่ำสุรามื้อเที่ยงมางัย
อยู่ฝรั่งเศสผมก็กินไวน์ประจำ ต้องมีไวน์อยู่ในห้องไม่ขาด แต่ไม่ได้กินเพื่อเมา
กินเพื่อให้เลือดลมเดินสะดวก กินแก้หนาว และกินเพื่อความครึ้ม ๆ ตลอดจนกินเพื่อให้รู้สึกว่า
“เป็นฝรั่งเศส” แม้แต่ในโรงอาหารนักศึกษาที่มหา’ลัย ก็มีไวน์ขาย
พอกลับมาเมืองไทย
ผมก็เลิกแอลกอร์ฮอร์ เลิกเมา เลิกครึ้ม - เพราะครึ้มมากมีสิทธิไม่มีจะแดก และผมไม่กินไวน์เพราะว่ากินไม่อร่อยเหมือนเมื่ออยู่ฝรั่งเศส
(ตอแหล-ไม่มีเงินจะซื้อต่างหาก) ต่อมา -- ครั้นกลับไปยุโรปอีก-ได้งานในประเทศเบลเยี่ยม
ก็กลับไปกินไวน์เป็นประจำอีก(เพราะมีกะตังจะซื้อด้วยแหละ)
ตำแหน่งงานของผมชื่อขลังและไพเราะ
ทำเล่นไป คือเป็น Financial Comptroller แต่ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ
กระทั่งบัดนี้ ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าหน้าที่นั้นเขาทำอะไรกัน
รู้แต่ว่าเขาต้องการคนที่อ่านบัญชีภาษาฝรั่งเศสออก ซึ่งผมอ่านบัญชีภาษาฝรั่งเศสได้
เรียนบริหารธุรกิจที่ฝรั่งเศส มีอาจารย์สอนบัญชีที่ดี และเสริมหลักสูตรด้วยหนังสือคู่มือวิชาบัญชีที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น
ของ ศ.โรเบิร์ต เอ็น แอนโทนี ศาสตราจารย์บัญชีที่โรงเรียนบริหารธุรกิจฮาร์วาร์ด นักศึกษาป.ตรี
ที่ไม่รู้จักหนังสือเล่มนี้อย่าเพิ่งนึกว่าตนรู้บัญชี ผมทราบถึงความสำคัญของรายการ
off-balance sheet หรือรายการ นอกงบดุล ส่วนสาเหตุที่จนกระทั่งบัดนี้ผมยังไม่รู้วา
หน้าที่การงานดังกล่าวนั้นเขาทำอะไรกัน อาจเป็นเพราะเวลานั้น ผมกำลังมึน ๆ ครึ้ม ๆ
อยู่ก็ได้นะ
ต่อมา ผมกลับมารับตำแหน่งหน้าที่การงาน
ที่มีชื่อตำแหน่งขลังไม่แพ้เดิมอีกสองสาม หรืออาจจะสามสี่ตำแหน่งงานในประเทศไทย
ที่น่ามหัศจรรย์เหมือนเดิมก็คือ ตราบเท่าบัดนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าตำแหน่งงานขลัง ๆ
เหล่านั้น เขาทำอะไรกันมั่ง ผมได้แต่นั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ ง่วงเหงาหาวนอนไปวัน ๆ
จนเบื่อ แล้วก็กลับมาทำสวนอยู่บ้านนอกเวลาที่เขามี เออลี่ รีไทร์-ชื่อไพเราะที่จริงก็คือเขาเอาพวกหลับ
ๆ ตื่น ๆ ง่วงเหงาหาวนอน และมึน ๆ เมา ๆ ออกไปจากกิจการ – ให้ได้นอนเต็มอิ่มอยู่กับบ้าน
ไม่ต้องนั่งสัปหงก และจะได้มีสติรู้ตัวว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
ในละแวกบ้านผมเวลานี้ มีคนมึน
ๆ อยู่หลายคน พวกเขาจะครึ้ม ๆ ทั้งวัน อารมณ์ดี ผมไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาหนีอะไรรึเปล่า?
หรือว่าโลกที่เขาแลเห็น มันแจ่มชัดเกินพิกัด มีพิกเซลสูงเกินไปสำหรับพวกเขา?
ที่น่าเป็นห่วงก็คือบางคนที่เมาทั้งวัน เวลาเจ็บไข้ต้องกินยาตามหมอสั่ง
แกก็เลิกเหล้าไม่ได้ ยากับเหล้ากินเคล้าไปด้วยกัน เอากะเขาซี พี่แกเก่งมั๊ยล่ะ
คนเก่ง ๆ เหล่านี้ส่วนมากจะแก่เกินวัย
ได้มีชีวิตกับพวกฝรั่งเศสที่เขาดื่มไวน์ประจำ
ก็ไม่เคยเห็นใครเมาหัวราน้ำ ฟังมาว่าคนรัสเซียเขาเมาวอดก้า และคนเยอรมันเมาเบียร์
ส่วนคนไทยน่าจะเมาเหล้าขาว - เท่าที่ผมเห็น
เคยรู้จักเฮียคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่กรุงเทพฯคนหนึ่ง
แกเดินสายสอนหนังสือจีนตามโรงเรียนเอกชนในกทม. มากมายหลายโรงเรียน หาเงินในกรุงเทพฯ
เก็บเงินเก็บทองเป็นกอบเป็นกำ ส่งลูกหลานในเมืองจีนให้ได้เรียนสูง ๆ
แกเคยคอมเม้นกับผมว่า คนไทยขี้เมา เป็นปัญหาของเมืองไทย แกว่ายังงั้น
ผมรู้สึกว่า -
จะผิดถูกอย่างไรไม่รู้นะ - ในโลกสมัยนี้เราจะอยู่อย่างสติบริบูรณ์ กันได้ยากกว่าสมัยก่อน
ทั้งนี้เพราะความไว คือใคร ๆ ก็มีมอร์ไซด์หรือปิคอัพ(ยกเว้นผมคนเดียว
ไม่มีแม่งทั้งสองอย่าง เพราะไม่มีเงินจะซื้อและบำรุงรักษา) พวกเขานึกอยากจะไปจะมา
ก็สตาร์ทรถแล้วขับขี่ไปทันใจเดี๋ยวนั้น
ประเด็นที่สองก็คือความมากมายของข้อมูลข่าวสาร ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ๆ เพียบ ส่วนมากจะเป็นเรื่องร้าย
ๆ หลายคนอาจจะไม่รู้ที่จะจัดการข้อมูลข่าวสาร สาระบันเทิง อันมหาศาลและมโหฬารพันลึกเหล่านี้ได้อย่างไร
เช่น ในโทรศัพท์มือถือมีแอพ(app)ชนิดโทรหาคู่บริเวณใกล้เคียง ไม่ต้องไปไกล เพื่อนผมตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ
คนหนึ่งอยู่ในตัวอำเภอ มันอุบาทว์กว่าผมอีก มันเรียกแอพนั้นว่า “app นัดเญ้ด”
ซึ่งแอพมือถือ
“นัดเญ้ด” ที่ว่านั่น เพื่อนผู้หญิงของมันที่กรุงเทพฯเคยลองใช้ เล่าให้มันฟังแล้วมันมาเล่าผมอีกต่อหนึ่ง
ว่าโทรไปไม่ถึงห้านาที มันขี่มอร์ไซด์มารอหน้าบ้านแล้ว จนตัวเองกลัวต่อความไว
ไม่กล้าออกจากบ้านไปพบ
นี่เป็นตัวอย่างที่อาจจะสุดขั้ว
แต่ก็ชัดเจน แสดงถึงความไม่ง่ายของการประคับประคองชีวิต ชนิดสติบริบูรณ์ ในโลกสมัยนี้
ที่มีข้อมูลข่าวสาร เป็นประธานาธิบดีหรือเป็นเลขาธิการโลก
บางที สำหรับบางคน
เหล้าขาวขวดละสามสิบกว่าบาท อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ก็ได้?
แต่ข้อเสียของความมึนเมาก็คือ เราจะไร้ขีดความสามารถ ที่จะประเมินโลกที่เป็นจริงให้ได้อย่างค่อนข้างถูกต้อง
ซึ่งทำให้การตอบสนอง(response)ก็ดี
หรือการมีปฏิกิริยา(reaction)ก็ดี ผิดพลาด ทำให้เราเพลี่ยงพล้ำ
กลายเป็นว่าเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง ดันกลายเป็นเรื่อง เห็นหมูตัวโตเท่าควาย
เห็นควายเล็กเท่ายุง
และความมึนเมาทำให้ขาดสติ
ที่จะประเมินให้รู้ว่า ยุงตัวนั้น-ที่ว่าตัวโต้โต โตเบ้อเร่อเบ้อร่าเลย ว่ากันจริง
ๆ ก็ยังเล็กกว่าลูกช้างที่เป็นช้างน้อย เยอะเลยครับพี่ ประเด็นก็คือว่ากรณีของยุงตัวโต้โต
กับ ช้างตัวเล้กเล็ก เราจะไร้สติเพ้อเจ้อหลงดีกรีของคำคุณศัพท์อยู่อย่างเดียวไม่ได้
ต้องพิจารณา ตัวยุงกับตัวช้าง ประกอบด้วย จริงมั๊ยล่ะพี่?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น