open letter no 2

Chicago 2 why Chicago

Chicago 2 ทำไม ผมต้องดัดจริต ฟังวิทยุชิคาโก ด้วย? ๑.    ผมติดนิสัยชอบฟังวิทยุตปท. จากแดนไกลเป็นนิสัยมาแต่มัธยม เพื่อฝึกภาษา ประกอบกับมีผู...

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

The Minimalist ทำไมคนชอบสะสมสิ่งของไร้สาระ(ขยะชีวิต)

แดง ใบเล่

Minimalism” หมายถึง ชีวิตที่มีข้าวของเท่าที่จำเป็นต้องใช้  

ผู้เขียนได้ปาวารณาตนอย่างไม่เป็นทางการ ขอเป็น minimalist กับเขาด้วยผู้หนึ่ง  ฉันต้องการมีข้าวของเครื่องใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น  บ้านฉันจะต้องคล้ายบ้านคนญี่ปุ่น ที่เขาอยู่ไม่รกรุงรังด้วยข้าวของเครื่องใช้ไร้สาระ  ฉันจะอยู่อย่างโรแมนติคเหมือนลอยเรือนแพในแม่น้ำเจ้าพระยา หรือแม่น้ำหลวง(ชื่อเดิมของแม่น้ำตาปี) หรือใน houseboat ในแม่น้ำแซนน์ กรุงปารีส ซึ่งมีอยู่ประมาณสองร้อยลำ ที่เขาอยู่กันทั้งครอบครัว ในพื้นที่อันจำกัด  เรือนแพชนิดนั้นที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก็มี


น้ำท่วมกรุงเทพฯปลายปี 2554  หลังจากน้ำลดแล้ว ผู้เขียนมีโอกาสได้โกยข้าวของในบ้านกทม.ทิ้งไปกว่าค่อน  แต่ระหว่างน้ำท่วมผู้เขียนไม่ได้อยู่บ้านกรุงเทพฯ มีญาติมิตรช่วยดูแลให้ แถมมีแฟนหนังสือท่านหนึ่ง อยู่ไม่ไกลกัน มีเมตตาเสนอความช่วยเหลือ—ซึ่งก็ยังนึกขอบคุณอยู่กระทั่งบัดนี้  กับบังเอิญว่ามีคนรับจ้างล้างบ้านและโกยข้าวของไปทิ้ง  ซึ่งผู้เขียนก็ได้ฉีดน้ำล้างบ้าน และทิ้งของในบ้านทางโทรศัพท์มือถือ 

ของที่ทิ้งไปนั้นมีปริมาณเป็นคันรถ--แปรสภาพเป็นขยะแล้วทั้งนั้น  ผู้เขียนไม่เสียดมเสียดายอะไรเลย ทำใจได้หมด – รู้สึกดีใจด้วยซ้ำ  พูดเหมือนดัดจริต-แต่เป็นความจริง  จะมีเสียดายอยู่อย่างเดียว คือหนังสือกฎหมายตราสามดวงทั้งสามเล่ม  ทำไมหนอไม่มีใคร หรือองค์กรใด อัพโหลดหนังสือมีค่าทั้งสามเล่มนั้น ขึ้นไว้ในอินเตอร์เนต   

อาจารย์ด้าน minimalism สอนกันว่า เวลามีสิ่งของชิ้นหนึ่งเข้ามาในบ้านเรา  เราต้องถามของชิ้นนั้นว่า “เอ็งมาทำไม?”  เอ็งจะมารับใช้วัตถุประสงค์อะไรในบ้านข้า  เอ็งแปลงกายเข้าไปอยู่ในอินเตอร์เนต แทนที่เข้ามาอยู่ในบ้าน จะได้มั๊ยเนี่ยะ

ย้อนไปสองพันห้าร้อยปีก่อน ยุคต้นพุทธกาล  ลองเคาะดูว่าที่เขาเรียก อัฐบริขาร อันเป็นเครื่องใช้จำเป็นแปดอย่างของสงฆ์มีอะไรบ้าง  เนื่องจากตัวเองเคยบวชเรียนมาก่อนก็จริงอยู่ คือบวชหนึ่งพรรษาและเรียนนักธรรมตรี  แต่ก็ลืมหมดแล้ว  ทั้งหลักสูตรนักธรรมตรีและอัฐบริขาร

เครื่องใช้ที่จำเป็นแปดอย่างสำหรับพระ ได้แก่ ผ้าจีวร-สำหรับห่ม ผ้าสังฆาฏิ-สำหรับห่อมซ้อนนอก ผ้าสบง-สำหรับนุ่ง ประคดเอว มีดโกน บาตร เข็มเย็บผ้า ธมกรก-เครื่องกรองน้ำ  ซึ่งในปัจจุบันเวลาบวชจริงมีการปรับตามยุคสมัย แต่ยังคงไอเดียเดิม คือ มีของใช้เท่าที่จำเป็น

ทำไมคนเราตั้งแต่โบราณมา ไม่เฉพาะแต่คนปัจจุบัน ชอบสะสมข้าวของเกินจำเป็นใช้สอย?  บ้านช่องห้องหอรกรุงรังไปด้วยของที่ตัวเองไม่ได้ใช้  ตู้เสื้อผ้าเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่ไม่ได้สวมใส่  ทั้ง ๆ ที่ท่านว่าเสื้อผ้าที่ปีหนึ่งไม่เคยหยิบมาสวม เท่ากับว่ามีฐานะเป็นผ้าขี้ริ้วไปแล้วแปดสิบเปอร์เซ็นต์  สำหรับคนที่ในบ้านมีห้องเก็บของ หรือจัดพื้นที่ใต้บันไดไว้เก็บของ ที่นั่นมักจะเป็นที่เก็บขยะเก้าสิบเปอร์เซ็นต์  ของเหล่านั้นเราไม่ยอมทิ้งเพราะเรารู้สึกเสียดาย เราผูกพันทางจิตใจ เก็บเอาไว้แล้วมันมอบความมั่นคง มั่นใจในชีวิตให้แก่เรา  มันไม่มีประโยชน์อะไรเป็นรูปธรรม นอกจากว่า It’s nice to have. 

ซึ่งอาจารย์ด้าน minimalism ท่านว่า ถ้าข้าวของชิ้นใดมีค่าเพียง “nice to have”  ให้โยนทิ้งเสียให้หมด 

แบบฝึกหัดสำหรับชีวิตคนธรรมดา ที่ไม่ได้เป็นพระเป็นชี  ท่านว่าให้ลองจินตนาการดูว่าจะเดินทางไกลไปต่างจังหวัด หรือไปต่างประเทศสักสองสามสัปดาห์  แล้วลองจัดเป้เพื่อการเดินทาง  เมื่อจัดเสร็จก็ให้รู้ไว้เถิดว่า จริง ๆ แล้ว ชีวิตเราจำเป็นต้องมีข้าวของเพียงเท่าที่อยู่ในเป้นั่นแหละ  ส่วนเกินจากนั้นมักจะทำหน้าที่เป็น สรณะที่พึ่งที่ระลึก ของสัตว์ผู้ยาก ทั้งนั้น

ซึ่งบางที เราก็ต้องลองสำรวจตัวเอง ว่าสัตว์ผู้ยากอย่างเรา ไม่มีสรณะที่พึ่งที่ระลึกอื่น นอกจากแมกกาซีนเก่า ๆ เสื้อผ้าเก่า ตู้เย็นเก่า โทรทัศน์เก่า จอคอมพ์เก่า คีย์บอร์ดรุ่นเก่า คอมพ์ตั้งโต๊ะที่ถูกโน้ตบุคทดแทนมานานแล้ว วิทยุเครื่องเก่า  สัพเพเหระของเก่า ๆ ทั้งหมดทั้งสิ้นที่อยู่ในห้องเก็บของใต้บันได  ทำไมเราไม่ยอมพัฒนาตัวเองให้เป็น “สัตว์ประเสริฐขึ้น”  ยึดธรรมมะ(ของศาสนาใด ๆ ก็ดี)เป็นที่พึ่งที่ระลึก?    

ผู้เขียนเคยมีรุ่นพี่ที่เคารพนับถืออยู่ท่านหนึ่ง อยู่ในวงการสื่อ ซึ่งผู้เขียนก็นับถือเป็นระดับ “เจ๊”  วันหนึ่งเจ๊แกนึกวิปลาสอะไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ  เอ่ยบอกกับผู้เขียนว่า คุณแดง-คุณรู้มั๊ย พี่มีรูปถ่ายยังไม่ได้จัดอัลบัม เก็บอยู่ในห้องเก็บของที่บ้าน ตั้งยี่สิบลัง

ตายห่ะ.....ผู้เขียนนึกอุทานอยู่ในใจ  แต่ปากอุทานออกมาว่า โห-พี่

เวลาไปต่างประเทศช่วงแค่อาทิตย์เดียว  เจ๊แกขนกระเป๋าเดินทางใบมหึมา ไปตั้งสองสามใบ  เคยไปกะแกครั้งหนึ่ง ลองยกดูแต่ละใบ หนักเป็นตัน ๆ ยกทีหนึ่งกระดูกมันร้าวดัง “กะ_กะ_กะ_กร็อบบบ”  กูล่ะเข็ดเลยอ่ะ

นี่เป็นตัวอย่างที่ดี ของคนที่ยึดขยะเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก  เจ๊คนนี้วัดวา โบสถ์ สุเหร่า เทวสถาน เทวาลัย วัดแขกสีลมอะไร-แกก็ไม่ไป  ชีวิตแกยึดอยู่แต่กับขยะของแกเท่านั้น โห ตั้งยี่สิบลัง  สรณะของแกเป็นรูปธรรมจับต้องได้ เป็นลัง ๆ ตั้งยี่สิบลัง  แกช่างไม่สำนึกรู้เสียเลยว่า สมัยนี้เวลาตายแล้วเขาเผาด้วยเตาแก้ส เขาไม่ได้ใช้ไม้หรือลังกระดาษเป็นเชื้อเพลิง

ขยะภาระเหล่านี้ ได้โปรดเถิด อย่าได้เก็บสะสมไว้เผาผี  อาจารย์จอห์น ล็อค นักปรัชญาอ้งกฤษเทศน์ไว้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์แสวงทรัพย์(Man is a property acquiring animal.) ท่านไม่ได้บอกว่าชอบแสวงขยะ  ปัญหาอยู่ที่ระหว่างยังไม่เป็นผี ขยะภาระมีแต่จะคอยถ่วง คอยดึง คอยฉุดเราไว้ให้จมปลัก-พวกเราเป็นคนนะ ไม่ใช่ควาย  จะมีชีวิตจมปลักอย่างกับควายได้งัย  ชีวิตจะเจริญยาก  สำหรับคนไทยส่วนใหญ่ที่ทำมาหากินเองโดยอิสระ หรือทำงานภาคเอกชน  หลาย ๆ คนก็มีชีวิตที่ใคร่จะมั่นคงแน่นอนในแง่ของการทำกิน  เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดอุบัติเหตุในชีวิตขึ้นมา เช่น ตลาดนัดที่เคยขายของปิดตัว ตกงาน หรือมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการยังชีพ  ขยะภาระเหล่านั้นจะฉุดรั้ง ทำให้ปรับตัวยากกว่าคนอื่นที่เขาตัวเบา  ซึ่งเขาจัดของใส่เป้แล้วโบกมือลา ไปหากินวงอื่นได้ง่ายกว่าเรา  แต่เราจะไปไหนยาก ไม่ใช่เพราะเราไม่มีความสามารถ เราอาจใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่าเขา  ความสามารถอื่นก็พอมีเรื่องสองเรื่อง  แต่จะมาเกณฑ์ให้เราอพยพไปทำทัวร์อยู่ที่ภูเก็ตไม่ได้ เพราะว่าขยะภาระของเราเยอะ มันเป็นลูกตุ้มถ่วงชีวิตเราอยู่ใต้น้ำ ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน  เหมือนเขาเอาวิญญาณแม่นาค ถ่วงไว้ในคลองพระโขนง

ในสหรัฐอเมริกา สำหรับคนเคยอยู่สหรัฐฯย่อมทราบว่า เขามีธุรกิจให้เช่าพื้นที่โกดัง แบ่งเป็นล็อค ๆ ให้เช่าเก็บขยะ(ของใช้ที่ไม่ได้ใช้)  คนอเมริกันก็จะเช่าพื้นที่ล็อคในโกดังเหล่านี้เก็บขยะของตัว  เพราะว่าขยะที่บ้านมันล้นโรงรถ  ซึ่งคนอเมริกันทั่วไปมักใช้โรงรถเป็นห้องเก็บของไปด้วยในตัว  พื้นที่ให้เช่าเก็บ “ขยะชีวิต” ในสหรัฐฯปัจจุบันมีอยู่ประมาณกว่าสองพันล้านตารางฟุต  ครั้นขนถ่ายขยะไปเก็บไว้ในพื้นที่เข่า โรงรถก็จะว่างขึ้น  คนอเมริกันเขาก็ทำงานหนักขึ้น เพื่อแสวงหาขยะชุดใหม่.....มาใส่ในโรงรถต่อไป

                             “There are thousands and thousands of people out there living lives of quiet, screaming  desperation who work long, hard hours, at jobs they hate, to enable them to buy things they don't need to impress people they don't like."   --Nigel Marsh

    “คนเรือนหมื่นเรือนแสน ร้องโหยหวนอย่างเงียบเชียบอยู่ในความสิ้นหวัง 
    คนพวกนั้นทำงานมาก ชั่วโมงทำงานยาวนาน  แต่อยู่กับงานที่ตัวเกลียด 
    เพียงเพื่อหาเงินมาซื้อหาข้าวของที่ตนไม่จำเป็นต้องใช้  เพื่อเอาไว้อวดคนที่ตน                                           ชังน้ำหน้า”


อย่าคิดว่า นั่นมันชีวิตคนอเมริกัน  อภิโธ่เอ๋ย...ในเมืองไทยนี่ ที่อยู่กันในสภาพทำนองนั้นมีเยอะ  แล้วไม่จำเพาะแต่คนในเมือง แม้คนในชนบทนี่ก็มีไม่ใช่น้อยที่อยู่กับการสะสมขยะชั้นดี  พวกเขายึดขยะเป็นที่พึ่งที่ระลึก เป็นสรณะแห่งชีวิต.....

วีดีโอที่แนบมาให้ชมข้างล่างนี้  เล่าเรื่อง minimalist ชาวอเมริกัน ผู้ได้รับมรดกเป็นที่ดินผืนเล็ก ๆ มา  แล้วเขาสร้างบ้านพออยู่ได้สบาย ๆ โดยที่แฟนเขาจะมาอยู่ด้วยช่วงวันเสาร์อาทิตย์  เขามีบ่อบาดาลและแผงเซลแสงอาทิตย์  เขาไม่มีค่าใช้จ่ายไฟฟ้าประปา ไม่ต้องผ่อนบ้าน  เขาบอกว่าเงินทองที่เราจะต้องใช้ผ่อนบ้านราคาแพงนั้น เก็บไว้ทำอย่างอื่นจะดีกว่า เช่น ไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตา หรือหาความรู้ใส่ตัว  แนวทางที่เขาเสนอในวีดีโอ ผู้เขียนเห็นด้วยและนำมาปฏิบัติ – และว่าที่จริงตัวเองก็ใช้ชีวิตในแนวนั้น แม้จะไม่ตามตำราเด้ะก็ตาม  บ้านหลังน้อยของเขากับกระท่อมน้อยของผู้เขียน ยังมีรูปทรงคล้ายกันเลย แต่ว่าบ้านผู้เขียนดูดีกว่า นี่ไม่ได้คุยนะครับ-มีรูปให้ดูเปรียบเทียบ ที่หน้าเฟส



 https://www.youtube.com/watch?v=fJsDOD0dTQI


เทคโนโลยีสมัยใหม่บันดาลให้คน สามารถอยู่ได้กับสิ่งละอันพันละน้อย  แต่ขณะเดียวกันก็ทรงพลังอำนาจมหาศาล ยกตัวอย่างเล็ก ๆ ใกล้ ๆ ตัวพวกเราทุกคนไม่ว่าใครจะอยู่ที่ไหน  ผู้เขียนเคยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดตั้งโต๊ะ  บางทีก็เปิดใช้ยาวนานเป็นนิสัยและตามความจำเป็น  ค่าไฟฟ้าที่กระท่อมน้อยในสวน เคยเสียเดือนละประมาณ 400 บาท ซึ่งถือว่ามาก--เพื่อนบ้านบอกว่าผู้เขียนใช้ไฟฟ้ามาก  ต่อมาเมื่อได้คอมพิวเตอร์ชนิดวางตักหรือโน้ตบุคมาเครื่องหนึ่ง กับโทรศัพท์มือถือที่มีแอพพลิเคชันเอ็มพีสามมาด้วย แถมมีสมาร์ทโฟนอีกเครื่องหนึ่ง  การใช้อุปกรณ์ก็ผ่องถ่ายจากคอมพ์ตั้งโต๊ะ มาหนักที่โน้ตบุคกับโทรศัพท์มือถือ--ที่ได้อาศัยเป็นที่โหลดไฟล์เสียงไว้ฟัง

เพียงเท่านั้น ก็สามารถลดค่าไฟฟ้าลงมาได้ครึ่งหนึ่ง เหลือประมาณ 200 บาท  ที่ทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯก็เช่นเดียวกัน  เวลามาอยู่กรุงเทพฯซึ่งก็จะนำโน้ตบุคกับโทรศัพท์มือถือมาด้วย – มหัศจรรย์ตรงที่ว่า บางเดือนเวลามาอยู่ที่บ้านกทม.เสียค่าไฟฟ้า น้อยกว่าค่าน้ำประปา! ทั้งนี้ก็เพราะประปาเขาคิดค่ารักษามิเตอร์เดือนละร้อยบาทยืนพี้น  ผู้เขียนไม่ใช้แอร์ที่กรุงเทพฯ-เพราะทาวน์เฮ้าส์อยู่ชานเมือง อากาศดี อยู่ใกล้ถนนอุทยาน ใกล้พุทธมณฑล และมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา ตัวทาวน์เฮาส์ยังเป็นห้องริม ด้านหนึ่งติดพื้นที่ว่างซึ่งเป็นที่สาธาณะของหมู่บ้าน จึงไม่น่าอึดอัดและลมถ่ายเทได้ดี  ส่วนที่บ้านสวนปักษ์ใต้-ก็ไม่ต้องมีแอร์อยู่แล้ว

ที่จะสรรเสริญเทคโนโลยีก็คือว่า ด้วยค่าพลังงาน(ไฟฟ้า)เพียงเดือนละ 200 บาท  เราก็สามารถทำกิจกรรมทางปัญญา หมายความว่าไม่ใช่การ ถาก ถาง ขุด กลบ หาบ หาม หิ้ว ฯลฯ รวมทั้งดูหนังพอร์น ได้สุดฟ้ามหาสมุทร์  กล่าวคือฟังวิทยุบีบีซีจากลอนดอน วันละสองชั่วโมงหลังเดินออกกำลังกาย-ฟังผ่านเครื่องรับวิทยุคลื่นสั้นซึ่งกินไฟนิดเดียว ฟังวิทยุฝรั่งเศสจากปารีส-ผ่านแอพของสถานีที่ลงไว้ในสมาร์ทโฟน วันละชั่วโมง  ฟังรายการอื่น ๆ อีกมากมายในหมวด Humanities ผ่านเอ็มพีสาม ด้วยการโหลดรายการไว้ในมือถือแล้วเปิดฟัง  อุปกรณ์พวกนี้กินพลังงาน(ไฟฟ้า)ที่บ้านเฉพาะเวลาชาร์ทไฟเท่านั้น  ชาร์ทครั้งหนึ่งใช้ได้หลายชั่วโมง  อนึ่ง นอกจากไม่ใช้แอร์แล้ว ผู้เขียนก็ไม่ดูโทรทัศน์อีกด้วย เพราะไม่มีเวลาจะดู  ซึ่งก็ช่วยประหยัดไฟฟ้าได้อีก  ส่วนตู้เย็นก็ไม่มีใช้ เพราะไม่ทราบว่าจะมีไว้แช่อะไร? น้ำเย็นสะท้านทรวงจากตู้เย็นไม่ชอบดื่ม ชอบกินน้ำเย็นธรรมดาที่ room temperature ไม่ต้องแช่ตู้เย็น  แต่พัดลมมีใช้-ซึ่งพ่วงเข้ากับเครื่องตั้งเวลาทุกตัว ที่บ้านสวนมีเครื่องตั้งเวลาสามตัว  สำหรับหลอดไฟที่บ้านทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ใช้หลอดประหยัดไฟทั้งหมด      

เงิน 200 บาทอาจจะเป็น “เศษเงิน” สำหรับคนจำนวนมาก หรือคนส่วนใหญ่ในเมืองไทยสมัยนี้—ซื้อเบียร์ได้สองขวดมั้ง? หรือค่าแท้กซี่ในกรุงเทพฯหนึ่งเที่ยว?  แต่ทุก ๆ คนอาจไม่ได้สำนึกรู้ ว่าเงิน 200 บาทประกอบเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เปิดโอกาสให้เราทำกิจกรรมได้ทั้งมากปริมาณชั่วโมงและมากประเภทมากชนิดกิจกรรม  ทั้งกว้างไปในเวหาหาวและลึกถึงท้องพระสมุทร์  แต่นั่นแหละ การที่เงิน 200 บาท จะมาระเบิดขอบเขตกิจกรรมของเซลส์สมอง(หรือจิตใจ)ออกไปได้สุดคณนา(=สุดคำนวณ)  ในหัวมันก็ต้องมีฟืน มีเชื้อไฟอยู่บ้าง กับต้องมีซอฟต์แวร์ที่เป็นแอพพลิเคชันอยู่ในหัว เช่น

1)ต้องรู้ภาษาต่างประเทศ-ซึ่งถือเป็นแอพชนิดหนึ่ง กับ
2)ต้องมีความอยากรู้อยากเห็นในลักษณะคนใฝ่รู้-ซึ่งก็เป็นแอพอีกชนิดหนึ่ง  แต่ไม่ใช่ใฝ่รู้แบบชอบเสือก แส่ หรือแจ๋น 
3)อีกทั้งรู้จักสนใจกับสาระที่เขาเรียกว่า “Humanities”-นี่ก็เป็นแอพสำคัญอีกชนิดหนึ่ง อันได้แก่เรื่องราวและตำนานของมนุษย์ล้วน ๆ ซึ่งหมวดหลัก ๆ ก็คือ ปรัชญา ประวัติศาสตร์ ภาษาและวรรณคดี กับศิลปะ แต่ไม่ใช่สากกระเบือยันเรือรบ  ขอโทษ ปรัชญา-ประวัติศาสตร์-ภาษาและวรรณคดี-ศิลปะ ครับ  ไม่ใช่สากกะเบือ-ครก-ขี้-ขยะ-เรืออีแปะ นะครับ 

เมื่อนั้น เราจึงจะมีญาณแก่กล้าขึ้น เรียกว่ามีญาณที่ประกอบด้วย “แอพพลิเคชันวิเศษ”  ซึ่งแอพพลิเคชันวิเศษนี้ก็จะสามารถนำไปใช้ขยายผล “เศษเงิน”ค่าพลังงานจำนวนเพียง 200 บาท ให้ไปได้จนสุดขอบฟ้าเขาเขียว และสุดขอบจักรวาลเท่าที่มนุษย์มีญาณรู้ไปถึง

เขาวิจัยกันมาแล้ว สำหรับภาษาต่างประเทศนั้น ทุกคนและทุกอายุขัย สามารถฝึกฝนเรียนทันกันได้หมด  นอกจากการออกกำลังกายกับยาไวอากราแล้ว การเรียนภาษาต่างประเทศจะเป็นอีกกิจกรรมหนึ่ง ที่ทำให้ชีวิตกระปรี้กระเปร่า-ไม่แก่เกินวัย  และไม่จำเป็นดอกว่าจะต้องมีกิ้ฟมีแก้ฟ  เพราะเราไม่ได้เล็งผลเลิศจะเรียนไปอ่านวรรณคดีเล่มยาก ๆ 

คงน้อย ที่จะมีฝรั่งบ้า ๆ สักคน ที่มันเรียนภาษาไทยเพื่อจะอ่าน “ลิลิตยวนพ่าย”  วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ  เป็นหนังสือไทยที่อ่านโคตรยาก  เวลาเกิดอาการนอนไม่หลับ หรือเบื่อโลก ผู้เขียนจะหยิบขึ้นมาอ่าน ไม่เคยอ่านได้เกินหนึ่งหน้าสักที.....หายเบื่อโลกหลับไปไม่รู้ตัว 

ลิลิตยวนพ่าย  เป็นแรงบันดาลใจให้สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์ ลิลิตตะเลงพ่าย  เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ขึ้นมาไว้คู่กัน  เล่มหลังนี้ค่อยยังชั่วหน่อย พอคุยกันได้  แต่ก็จะคงไม่มีฝรั่งบ้าคนไหนคิดเรียนภาษาไทย แม้เพื่อจะอ่านเล่มหลังนี้

เจตนาในการเรียนภาษาต่างประเทศของคนทั่วไป เราเรียนเพื่อสื่อกับคนต่างภาษาในปัจจุบันสมัย  เราไม่ได้เรียนภาษาสเปนเพื่อจะไปอ่านต้นฉบับวรรณคดีสเปนเรื่อง ดอน กิโฮเต เด ลา มันช่า  ชื่อเต็มภาษาสเปนว่า El ingenioso hidalgo Don Quixote de la Mancha   

ทุกวันนี้ บทเรียนระดับพื้น ๆ ถึงขั้นกลาง ๆ แทบจะทุกภาษา มีอยู่ท่วมท้นล้นทะลักอินเตอร์เนต ของฟรีทั้งนั้น  อุปกรณ์การเรียนที่จำเป็นก็คือเอ็มพีสามในโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟน  แต่คงจะต้องตั้งข้อแม้ไว้ตรงนี้ว่า นอกจากอุปกรณ์การเรียนที่จำเป็นแล้ว  เราก็ต้องมีอุปกรณ์การเรียน“ที่สำคัญ” ด้วย ซึ่งก็คือจิตใจคุณเอง ที่จะใฝ่เรียนเพื่อตัวเอง ต้องการที่จะลงแอพภาษาต่างประเทศไว้กับตัว   

ผู้เขียนเคยเรียนภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น จีน สเปน ฮินดี และเวลานี้กำลังเรียนภาษาอินโดเนเซีย โดยที่ตัวเองไม่ได้มีกิ้ฟแก้ฟอะไรทั้งนั้น  และที่เล่ามานี้ก็เป็นการเล่าประสบการณ์—มิใช่อวดวิเศษ  เพราะถึงแม้จะเคยเรียนมาเจ็ดภาษา แต่ใช้ภาษาต่างประเทศได้จริงแค่สามภาษา แต่ว่ากะลังนี้อยากจะใช้ภาษาอินโดเนเซียให้ได้จริง ๆ เป็นภาษาที่สี่  อาจารย์(ผู้หญิง)ที่สอนภาษาอินโดฯ เธอแนะนำว่า กิ้ฟแก้ฟไม่จำเป็นก็จริงอยู่ แต่ถ้าเรื่องภาษาอินโดละก้อ...มี “กิ้ก”เด่ะ กิ๊กช่วยได้

ถึงแม้จะมี กิ้กคอยช่วยอยู่ แต่การลงแอพภาษาไม่สามารถจะลงได้ภายในสองวิ. หรือสามวิ. ต้องใช้เวลาปีสองปีหรือมากกว่านั้นครับ สำหรับการลงแอพประเภทนี้

ผู้เขียนมีเรื่องกิ้ฟ(gift)หรือพรสวรรค์อยู่เรื่องหนึ่ง จะเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง เรื่องมีว่าสุภาพสตรีผู้หนึ่ง เธอเป็นนักเปียนโนวงดุริยางค์ หรือ concert pianist ผู้มีความสามารถสูง  ค่ำวันหนึ่งหลังจากแสดงดนตรีจบลง  วาทยากรเชิญเธอไปรับประทานอาหารค่ำ  ระหว่างนั้นวาทยากรถามเธอว่า เธอชอบเล่นเปียนโนหรือ?  เป็นคำถามแปลก เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าเธอเป็นนักเปียนโนคนเก่ง  เธอตอบว่า เป็นสิ่งที่ดิฉันทำได้ดีค่ะ  วาทยากรตั้งข้อสังเกตกับเธอว่า ฉันดูเธอไม่ค่อยรักจะเล่นเปียนโนสักเท่าใด  เธอตอบว่า เป็นสิ่งที่ดิฉันทำได้และเรียนมาแต่เด็กค่ะ  วาทยากรบอกว่า “การที่คนเราทำอะไรได้ดี ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะต้องทำเรื่องนั้นจนตลอดชีวิต” 

ฝรั่งพูดว่า การที่คุณ good at something ไม่ได้แปลว่าชีวิตทั้งชีวิตคุณจะต้องทำแต่เรื่องนั้น  ประเด็นนี้ ช่างตรงกันข้ามกับคำพร่ำสอนที่พวกเราหลาย ๆ คน ได้ยินมาแต่เด็ก คือ ให้ทำสิ่งที่เราถนัดทำ 

ณ บัดนั้น สุภาพสตรีนักเปียนโนจึงได้สติ รู้สำนึกว่า ลึก ๆ ลงไปแล้วเธอไม่ได้รักงานนั้น ไม่ได้มีกะจิตกะใจกับงาน  เพียงแต่การเล่นเปียนโนเป็นสิ่งที่เธอสามารถทำได้ดีเท่านั้นเอง  เธอจึงตัดสินใจลาออกจากวงดนตรี ไปอยู่กับวงการหนังสือซึ่งเป็นความรักที่เธอแอบฝันมานาน  ทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าชีวิตเธอ จะไม่เคยยากจนอย่างนี้มาก่อนเลย.....แต่เธอมีความสุข             

กลับไปหาลูกแกะของเรา(--สำนวนฝรั่งเศส แปลว่า กลับเข้าเรื่องเดิม)  ถ้าในสมองเรามีแต่ “ฟืนเปียก” แอพพลิเคชันดี ๆ เราไม่ได้ลงไว้  อย่าว่าแต่เงิน 200 บาทเลย เงินสองแสนล้านหรือมากกว่านั้น ก็ไม่สามารถจุดคบ จุดไต้ จุดตะเกียง หรือช่วยสร้างความอบอุ่นอะไรขึ้นมาได้.....ตัวอย่างมีให้เห็นอยู่ทนโท่และกำลังจะมีให้เห็นอีก  ทุกวันนี้เรามีโอกาสได้เห็นคนรวยที่เป็นสมาร์ทโฟนไร้แอพ มีชีวิตเป็นกล้องถ่ายรูปเท่านั้น  มองไกล ๆ ดูเหมือนพวกเขาจะประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างน่ามหัศจรรย์ ไสยศาสตร์บันดาลชัด ๆ  แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ โห- ความสำเร็จอันน่ามหัศจรรย์นั้น มีค่าจริงเป็นความวิบัติฉิบหายวินาศสันตะโร ระหกระเหิน แม้แผ่นดินจะไม่ไร้เท่าใบพุดทรา แต่ก็ไม่มีพสุธาจะอาศัย—ต้องเข้าไปอาศัยอยู่ในตะราง  แต่ที่พูดนี่ไม่ได้แปลว่าผู้เขียนรังเกียจเงิน หรือเห็นเงินเป็นสิ่งโสโครก  ผมรักเงินครับและเห็นเงินเป็นสิ่งสวยงาม--แม้จะเป็นเงินเพียง 200 บาทก็ตาม!     

สำหรับผู้นำชนิดฟืนเปียก  “ชีวิตเจ๊-แอพดี ๆ เจ๊ไม่ได้ลงไว้บ้างเลยหรือ?”  รู้จักจังหวัดหาดใหญ่แต่ไม่รู้จักจังหวัดสงขลา รู้จักอำเภออุบลราชธานีแต่ไม่รู้จักจังหวัดอำนาจเจริญ  ชวนให้นึกถึงนิยายอเมริกันชื่อ เดอะ เกรท แกตสบี  ซึ่งอภิมหาเศรษฐีแกตสบี แกโรแมนติคกับประเทศมอนเตเนโกรมาก—ในหนังสือเขียนว่า“little Montenegro”   แถมแกนึกว่าเวนีสเป็นเมืองหลวงเมืองหนึ่งในยุโรป แกพล่ามว่า ซานฟรานซิสโก อยู่ในมิดเวสต์ของสหรัฐฯ  ผู้นำชนิดนั้นจะดีแต่นำฝูงข้าทาสบริวาร ไปกระโดดหน้าผาตาย  เขา/เธอไม่ใช่ผู้นำชนิดที่จะนำส่ำสัตว์ให้พ้นวัฏสงสาร  ชีวิตเราไม่น่าจะไร้ค่าถึงขนาดจะต้องตามเขาไปตาย แบบน่าหวาดเสียวอย่างนั้น  ทางที่จะตายสบาย ๆ กว่านั้นมีมั๊ยเนี่ยะ?

ส่วนแกตสบี้ จากเอเซียต.อ.เฉียงใต้ที่ไปอยู่ประเทศมอนเตเนโกรนั้น  คนที่แนะนำหรือจัดการให้ มันต้องอ่าน เดอะ เกรท แกตสบี มาแล้วแหงเลย  ขอยอมรับว่า คนจัดการแม่งมีอารมณ์ขันร้ายกาจมาก ที่มันรู้จักจัดให้ไปลงที่มอนเตเนโกร--ข้าน้อยขอคารวะท่านพี่  สำหรับท่านที่อ่าน เดอะ เกรท แกตสบี มานานแล้ว และจำประเด็นตรงนี้ไม่ได้ โปรดกลับไปพลิกหนังสือ ไปบทที่สี่ตอนต้น ๆ ลิตเติ้ล มอนเตเนโกร ปรากฏอยู่แถวนั้น

ปราชญ์ฝรั่งเศสท่านหนึ่งเคยสอนไว้--ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าน่าคิด ท่านว่า “ความเป็นศัตรูของคนโง่ไม่เป็นอันตรายต่อเรา มากเท่ากับมิตรภาพจากพวกเขาหรอก”

และอะริสโตเติลก็ว่าไว้--ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าน่าใคร่ครวญ-ท่านว่า “ถ้าเราคบเพื่อนขาเป๋ อีกไม่นานตัวเราเอง ก็จะเดินกะเผลก ๆ”

ไม่เชื่อ ท่านผู้อ่านลองนึกย้อนอดีตตัวเองดูเถิด  ยุคสมัยใดที่ท่านยอมรับมิตรภาพจากคนงี่ ๆ เง่า ๆ ก็ดี หรือท่านคบมิตรขาเป๋ก็ดี  กาลนั้นชีวิตท่านจะพันหลักจมปลัก  หรือถ้าชีวิตท่านผู้อ่านก็ดี ชีวิตผู้เขียนเองก็ดี ไม่ได้ถูกพันธนาการ  เราก็อาจจะเดินตุรัดตุเหร่ เซไปเซมา เหมือนควายขาเป๋อยู่กลางทุ่ง  หรือถ้าเราเดินอยู่ด้วยกัน เราก็จะเหมือนกับควายกะโผลก กะเผลกสองตัว ขออภัย-ควายจะเป็นผู้เขียน ส่วนท่านผู้อ่านอาจจะเป็นนกยูง-แต่ก็เป็นนกยูงขาเป๋ เกาะอยู่บนหลังควายขากะเผลก  พอจะนึกภาพออกมั๊ยครับ?  ดูไกล ๆ จากจุดที่ยืนอยู่ริมทุ่ง ภาพนั้นจะน่าตลกมากเลย  แต่ถ้าเข้าไปดูใกล้ ๆ จะน่าสงสาร.....

ส่วนที่จะน่าเวทนาอย่างที่สุด คงจะไม่เกินมีมิตรภาพจาก “คนโง่-ที่ขาเป๋”  กรณีนี้จะเป็นการ“ต่อยอด”เพื่อความสุดยอดโดยแท้--ยอดกว่านี้ยาก  เพราะรวมคำเตือนผู้รู้ทั้งสองสำนัก ฝรั่งเศสและอะริสโตเติลรวมอยู่ด้วยกัน  มันยาก...ที่จะจินตนาการให้ออก ว่า มิตรภาพจาก คนโง่-ที่ขาเป๋  จะทำตลกอะไรกับชีวิตเราได้บ้าง

แต่ก็ต้องวงเล็บไว้หน่อยว่า คนโง่ขาเป๋ อาจจะเป็นตัวเราเองก็ได้ ในบางช่วงของชีวิต คือเป็นตัวผู้เขียนเองหรือท่านผู้อ่านในบางโอกาส  แล้วเวลาที่เราเป็นคนโง่ขาเป๋ จะสังเกตได้ว่า คนรอบข้างไม่มีใครอยากได้รับมิตรภาพจากเราเลย ทั้ง ๆ ที่เราโคตรเต็มใจจะให้

กลัวว่าท่านผู้อ่านจะหาว่าผู้เขียนมองโลกในแง่ร้าย ยกตัวอย่างไม่ครบ  จึงจะสาธกยกขึ้นเป็นอุทาหรณ์บ้าง เกี่ยวกับความเป็นศัตรู—ที่ไม่มีใครเกรงกลัว เพื่อให้ครบสูตรตามแอพ  นักการเมืองผู้โดดเด่นในแผนกนี้ ใครจะเกินระดับรัฐมนตรีอย่าง คุณจะตุพวง-ที่เจริญขึ้นมาจากเวทีนักโต้วาที  ฝ่ายตรงข้ามช่างไม่มีใครกลัวความเป็นศัตรูของ คุณจะตุพวง เอาเสียเลย รวมทั้งพวงของคุณจะตุพวง เขาก็ลือกันว่าไม่มีน้ำยา  ตรงนี้ขอเปลี่ยนอุทาหรณ์จากควายกับนกยูงเป็น ตัวเหี้ยขาเป๋

เหี้ยขาเป๋มันจะคลานไปข้างหน้าไม่ได้ จะต้องกระถดแถไปเฉลียง ๆ เฉียง ๆ  ถ้ามันไม่ใช้ความพยายามหรือเกิดอ่อนแรงขึ้นมาเมื่อไร มันจะคลานไปไหนไม่รอด ได้แต่ตะกุยตะกายเถลือกถลนหมุนวนอยู่กับที่  ดูไกล ๆ จากจุดที่ยืนอยู่ริมทุ่ง  ภาพนั้นจะน่าตลกมากเลย  แต่ถ้าเข้าไปดูใกล้ ๆ จะน่าสงสาร.....         

ไม่ร้อนหรือ ในเมื่อที่บ้านไม่มีแอร์?  ที่บ้านสวน-กลางคืนจะเย็นทุกฤดู  ตกค่ำพอถึงเวลาน้ำค้างพราว ดาวจระเข้ขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ดาวว่าวปักเป้าอยู่กลางหาวค่อนไปทางทิศใต้-อยู่ตรงข้ามกัน แปลว่าอากาศเย็นแล้วชัวร์ ๆ  ส่วนเวลากลางวันถ้าบังเอิญอากาศร้อน แต่เนื่องจากบ้านเล็กอยู่ริมห้วย เหมือนหนังสืออเมริกันเรื่อง “บ้านเล็กริมห้วย”  เราก็แก้ผ้าลงไปอาบน้ำในห้วย – เอ๊ย ขอโทษเขียนผิด จะโดนเซ็นเซ่อร์มั๊ยเนี่ยะ?  เราก็นุ่งน้อยห่มน้อย ลงไปแช่น้ำในห้วย  แต่เมื่อลงไปแล้วผ้าผ่อนจะหลุดลุ่ยบ้าง ก็ช่างหัวมันเถอะ

นอกจากนั้น ในลำธารยังมีบริการนวดฟรี  คือมีฝูงปลาซิวปลาสร้อย  ที่บ้านเรียกปลาใบไผ่ อยู่ในห้วยเป็นฝูง ลูกกุ้งก็มี  พอลงน้ำได้สักครู่พนักงานเหล่านั้นจะว่ายน้ำมา ลูกกุ้งมันจะนวดขากับนวดเท้า เพราะมันอยู่ตามพื้นทรายท้องน้ำ  ส่วนฝูงปลาซิว--จะมาตอดตามเนื้อตามตัว

มันตอดที่ตรงไหนมั่ง อ่ะ? 

ตอดทั้งตัวแหละ ไม่เลือกที่หรอก 


--------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ – บทความสั้น ชุดปกิณกะชีวิต ตั้งว่าจะเขียนเดือนละบทสองบท อาจพลาดพลั้งผิดนัดบ้าง โปรดอภัย จะโพสต์เผยแพร่ตลอดปี 2558 ครับ ที่หน้าบล็อก www.pricha123.blogspot.com
อ่านแล้ว ชอบ/ไม่ชอบ โปรดแชร์ลิงก์ให้เพื่อนฝูง ขอบคุณมาก



4 ความคิดเห็น:

  1. อ่านแล้วพลอยสนุกไปด้วย กับที่สามารถวาดชีวิตตนเองได้ดั่งใจ นับถือนะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. -ขอบคุณครับ "โอ เบอ กิ ตู" ภาษาอินโด แปลว่า อ๋อ อย่างนั้นหรือครับ....

      ลบ
  2. อ่านแล้วพลอยสนุกไปด้วย กับที่สามารถวาดชีวิตตนเองได้ดั่งใจ นับถือนะ

    ตอบลบ
  3. โลกของแต่ละคนมีความงามไปคนละแบบ อยู่อย่างเข้าใจ พอใจ มีความสุขตามอัตภาพ ตามความโลภ หรือตามกิเลศของตัวเอง ก็ทำไปเถอะ ไม่เดือดร้อนผู้อื่น เคารพกติกา ก็น่าจะโอนะ..

    ตอบลบ