open letter no 2

Chicago 2 why Chicago

Chicago 2 ทำไม ผมต้องดัดจริต ฟังวิทยุชิคาโก ด้วย? ๑.    ผมติดนิสัยชอบฟังวิทยุตปท. จากแดนไกลเป็นนิสัยมาแต่มัธยม เพื่อฝึกภาษา ประกอบกับมีผู...

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

รื่นเริง ทัศนาจร.....

ปกิณกะชีวิต
แดง ใบเล่


          55555  ดูเหมือนว่าใคร ๆ ก็อยากไปเที่ยวกันทั้งนั้น  ถ้าเรามีความพร้อมที่จะไป.....  บางคนทั้งที่ไม่พร้อม ก็ยังอยากจะไปเที่ยว  ทั้งทางใกล้และทางไกล ทั้งในและนอกประเทศ  บางกรณี ที่ ๆ เราจะไปเป็นทางใกล้ แถมยังนอกประเทศอีกด้วย ก็มีอยู่หลายแหล่ง เช่น ถ้าผู้เขียนจะไปมาเลเซีย ก็ต้องถือว่าเป็น ทางใกล้  เมื่อเทียบกับเชียงใหม่  เพราะว่าสำหรับผู้เขียนซึ่งบ้านอยู่ทางใต้ ไปมาเลเซียระยะทางใกล้กว่าไปเชียงใหม่  หรือถ้าจะไปเที่ยวอินโดเนเซีย ประมาณสี่ร้อยกิโลเมตรจากเกาะภูเก็ต ก็ถึงเมืองอะแจ บนเกาะสุมาตราตอนบน เมืองอะแจ - ใกล้กว่าอุดรธานีเยอะเลย 


          ที่อุดรธานี ผู้เขียนไม่ทราบว่าจะไปดูอะไร  คนเขาไปทัศนาจรอะไรกันที่อุดรธานี?  ก็ในเมื่อผู้เขียนเคยทำงานเหมืองแร่ที่จังหวัดเลย  เช่าโรงแรมริมแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงคาน อยู่เป็นเดือน ๆ เห็นแม่น้ำโขงทุกวัน  ถนนเลียบโขงจากเชียงคาน เพื่อจะเข้าไปในป่ากิ่งอำเภอปากชม อันเป็นที่ตั้งเหมืองแร่(สมัยนั้น ปากชมยังเป็นกิ่งอำเภอ)ก็สวยงามน่าชม และผู้เขียนเคยใช้เส้นทางนั้นประจำ  แม่น้ำโขงช่วงนั้นน่าอภิรมย์กว่าที่จะให้ไปเดินห้างที่อุดรธานีเป็นไหน ๆ  ด้วยเหตุนี้เมืองอะแจในสุมาตราจึงน่าไปกว่าอุดรธานี-สำหรับผู้เขียน  ท่านผู้อ่านก็เช่นเดียวกัน ท่านก็คงมีที่ไปใกล้ ๆ ที่เป็นต่างประเทศ เช่น คนกรุงเทพฯไปเขมรก็ใกล้มาก ใกล้กว่าจะมาเที่ยวเกาะเต่าเกาะพงันหรือเกาะสมุย  แค่ขึ้นรถตู้จากอนุสาวรีย์ชัยฯ ไปไม่นานก็ถึงเขมร

          นอกจากเรื่องใกล้-ไกลแล้ว ข้อพิจารณาท่องเที่ยวของคนเราอีกประการหนึ่งคือ ไปนานหรือไปไม่นาน ไปช่วงเวลาสั้น ๆ สุดสัปดาห์ เช่น ไปเมืองกาญจน์หรือระยองสำหรับคนกรุงเทพฯ  หรือจะไปนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน เช่น ผู้เขียนกับเพื่อน ๆ เคยแบกเป้ไปยุโรปนานนับเดือน โดยเริ่มจากด้านตะวันออกของยุโรป แล้วนั่งรถไฟมาทางยุโรปด้านตะวันตก มาเรื่อย ๆ กระทั่งวกลงยุโรปด้านใต้  ไปสุดที่ริมทะเลเมดิเตอเรเนียน ประเทศสเปน  เราไปกันเป็นเดือน…..

          พ้นจากเรื่องระยะทางใกล้-ไกล กับระยะเวลานาน-ไม่นาน แล้ว  เราก็มักจะคิดกันเรื่องจุดหมายปลายทางว่า เราจะไปไหนดี เช่น ไปเมืองกาญจน์ดีหรือว่าไประยองดี ชอบภูเขากับอ่างเก็บน้ำ หรือชอบทะเล  ชอบไปอเมริกาหรือยุโรป  จะไปเที่ยวเมืองจีนหรือว่าอินเดีย
อยากไปสิงห์คโปร์กับมาเลเซีย หรือชอบไปนิวกินีมากกว่า  อยากไปอีจิปต์หรือไปเอธิโอเปีย เป็นต้น

          มีปมปริศนาอยู่ปมหนึ่ง ที่เรามักจะไม่คิด ก่อนจะไปท่องเที่ยว ปริศนาดังกล่าวถูกปัดไว้ใต้เสื่อ โดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ไม่อาจจะทราบได้ ได้แก่คำถามที่ว่า

          ทำไม เราคิดจะไปท่องเที่ยวทัศนาจร?  เรากำลังจะไปหาอะไร? หรือว่าเรากำลังหนีอะไรไปรึเปล่า?

          ผู้เขียนลองทบทวนดู สมัยเมื่อยังทำงานรับจ้างอยู่ในกรุงเทพฯ  มิตรสหายนิยมที่จะไปสุดสัปดาห์กันตามจังหว้ดใกล้เคียง ที่เป็นแหล่งธรรมชาติ เช่น กาญจนบุรี ระยอง เพชรบุรี โคราช เป็นอาทิ  พวกเราไปทำไม?  ไม่ต้องดัดจริตคิดนาน ตอบได้เลยว่า--เราเบื่องานและเบื่อหน่ายชีวิตประจำวันในกรุงเทพฯ  เราต้องการหนีมันไป หนีได้แค่สุดสัปดาห์ก็ยังดี  ขอโผล่ศีรษะไปหายใจเต็ม ๆ สักเฮือกหนึ่ง ได้แหงนหน้าดูดาวบนฟ้ายามค่ำ ได้อยู่กับต้นไม้ใบหญ้า ได้ยินเสียงน้ำค้างตกยามดึก  ได้ยินเสียงไผ่ต้องลม  พวกเราได้เรียกชีวิตที่อับเฉาให้ฟื้นคืนชีพ 

          ครั้นนึกย้อนกลับไปจากบัดนี้ นึกสงสัยว่า ทำไมช่วงเวลาชีวิตช่วงนั้น ช่างลำเค็ญขนาดนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย  ผู้เขียนเคยคิดเล่น ๆ ในสมัยโน้นว่า ขอเงินเดือนสักครึ่งเดียวแต่ได้กลับไปอยู่บ้านเกิดที่ใต้จะได้ไหม  คำตอบก็คือไม่ได้ดอก.....มันไม่มีงานประเภทที่เราพอจะทำได้ให้เราทำ  โลกสมัยก่อนไม่ได้เจริญทัดเทียมเป็นระนาบเดียวกันเหมือนสมัยนี้ โทรศัพท์มือถือ เพิ่งจะเริ่มมี ราคาเป็นแสนและใหญ่โตเกะกะ  ถึงเราจะมีใช้ก็ไม่รู้จะโทรไปหาใครเพราะมีแต่พวกบิ๊ก ๆ เท่านั้นเขามีกัน

          ปัญหานี้ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะตัวผู้เขียนคนเดียว  เพื่อน ๆ ที่ชอบออกไปสุดสัปดาห์ตามแหล่งธรรมชาติในจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่มาจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งเหนือ ใต้ กลาง และอีสาน  คนกรุงเทพฯจริง ๆ ที่ไปกับพวกเรามีน้อยมาก  และคนกรุงเทพฯเหล่านั้นสมัยที่ยังเป็นนักศึกษา จะเคยออกค่ายต่างจังหวัดกันมาก่อน  พวกเขาจึงเกาะกลุ่มเด็กต่างจังหวัดมาได้เรื่อย ๆ กระทั่งวัยทำงาน

          ครั้งหนึ่ง ยังจำได้ เราไปเช่าแพในอ่างเก็บน้ำเมืองกาญจน์ กลุ่มเราเล็ก ๆ เป็นสหายสตรีกว่าครึ่ง  เมื่อได้ทำเลผูกเรือนแพเรียบร้อยแล้ว  เราก็กระจัดกระจายกัน หามุมพักผ่อนนอนหลับพอหลับตาลงได้สักครู่เดียว ปรากฏว่ามีแพขนาดใหญ่สองแพโยงมาด้วยกัน มาผูกแพไม่ห่างจากเรามากนัก  พวกเขามากันเยอะมาก แถมยังเปิดดิสโกดังลั่นสนั่นท้องน้ำ นกหกตกใจบินหนีหมด  พวกเขามีเครื่องเสียงขนาดมหิมาใส่แพมาด้วย เสียงดังราวกับว่าแผ่นน้ำจะกระเพื่อมสั่นเป็นคลื่นยักษ์

          ทฤษฎีที่ว่า นักท่องเที่ยวแหล่งธรรมชาติ ปลีกวิเวกหนีความโกลาหลของเมืองกรุงฯ ที่รถติดระเบิด และยังไม่มีทั้งรถไฟลอยฟ้าและรถไฟใต้ดิน – ทฤษฎีนั้นผิดหมด ผู้เขียนคิดไม่ออกกระทั่งบัดนี้ว่า คนน่าหนวกหูพวกนั้นเขาหนีอะไรมา และพวกเขามาหาอะไร?  พวกเขาเป็นใคร เป็นคนประเภทไหน? แต่ผู้เขียนแน่ใจอยู่อย่างว่า สิ่งที่พวกเขาหนีมานั้น จะต้องน่าสยดสยอง  มันต้องน่ากลัวมากเลย

          ต่อมา ครั้นเศรษฐกิจไทยบูมขึ้นมา พวกเราแต่ละคนก็มีรายได้เพิ่มขึ้นมาก  รัศมีการท่องเที่ยวของเราก็ไกลขึ้น  ผู้เขียนในฐานะเคยอยู่ต่างประเทศหลายประเทศและพูดได้หลายภาษา จึงถูกอุปโลกน์หรือบางครั้งก็อุปโลกน์ตัวเอง เป็นมัคคุเทศก์สมัครเล่นให้กับเพื่อน ๆ  พวกเราหันมาแบกเป้ไปแดนไกล ไม่แบกไปใกล้ ๆ เหมือนเดิมอีกต่อไป

          ไปทำไม ไกล ๆ?  ไปหาอะไรหรือว่าหนีอะไรไป?

          ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังบูม กับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงรอบด้าน ยิ่งก่อความเครียดจัดให้กับพวกเราแต่ละคน  เรามีชีวิตอยู่กับความลำเค็ญชนิดพิเศษชนิดหนึ่ง เป็นความยากจนที่มีเงิน  เราพากันใช้เงินที่เรามีกันคนละมาก ๆ หมายความว่า--มากสำหรับพวกเรา เพราะเราไม่เคยมีเงินในมือปริมาณนั้นกันมาก่อนในชีวิต  เราแบกเป้ไปหาความสะใจกันไกล ๆ ด้วยความเครียดที่พกพามาด้วย มันตามเรามาเหมือนเงา  บางคนมากันเป็นคู่ แล้วผัวเมียทะเลาะกันในทัวร์ก็มี  ว่ากันจริง ๆ เราไม่ใคร่จะได้ “ไปแสวงหา” อะไรกันสักเท่าใด  เรา “หนีอะไรบางอย่างไป” ต่างหาก 

          ยกตัวอย่าง เพื่อนผู้เขียนบางคน ไปเที่ยววังอัลฮัมบรา ที่กระนาดา แคว้นอัลดาลูเซีย ประเทศสเปน โดยที่พวกเขาและพวกเธอเพิ่งเคยจะได้ยินชื่อ อัลฮัมบรา เป็นครั้งแรก  พวกเขาและรวมทั้งผู้เขียนด้วย ไม่ได้รู้เรื่องของอิสลามและชาวมุสลิมที่ปกครองสเปนอยู่เกือบเจ็ดร้อยปี  รู้กันแค่ว่าประเทศนี้ สาวตาคม.....

          เราไปชมการสู้วัวในสนามสู้วัวกรุงมาดดริด เห็นมาทาดอร์ฆ่าวัวตายสามสี่ตัว  เราก็พากันลุกขึ้น ชวนกันกลับเพราะสงสารวัว

          เราไม่ค่อยจะรู้เรื่องเกี่ยวกับที่ ๆ เราไป  เพราะบอกแล้วไง เราไม่ได้ไปหาอะไร  เราหนีบางสิ่งบางอย่างไปต่างหาก  ขอให้ได้หนีไปเถอะ ไปตายเอาดาบหน้า จะพบอะไรก็ช่างมัน  ไฮซ้อคนหนึ่งแกซื้อทัวร์ประเภทสามสิบประเทศในสามวัน--อะไรประมาณนั้น ซึ่งเป็นรายการทัวร์ที่ฮิตสมัยโน้น  แกถ่ายรูปมาเป็นลัง  ผู้เขียนไปเที่ยวบ้านแกแล้วหยิบรูปขึ้นมาดูเรื่อยเปื่อย  เห็นรูปหนึ่งแบ๊คกราวน์ดูดี จึงถามแกว่า พี่ ๆ นี่พี่ถ่ายที่ไหนอ่ะ?  ซ้อแกบอกว่า อุ๊ยอย่าถาม พี่จำไม่ได้แล้วว่าถ่ายที่ประเทศไหนมั่ง

          แกวิกลจริต ศักราชคลาดเคลื่อน ภูมิศาสตร์ก็เป็นคุดทะราด – คิดดู  เมืองสตุตกาตกับเมืองสตราสบูร์ก แกจำไม่ได้ว่าเมืองไหนอยู่ในเยอรมันและเมืองไหนอยู่ในฝรั่งเศส  ไม่รู้ว่าแกเสียเงินไปเที่ยวทำไม  แกหนีอะไรไป?  ต่อมาจึงทราบว่า แกเข้าหุ้นกับเพื่อนไปเซ้งคอนโดทั้งฟลอร์(ทั้งชั้น)ที่ชายทะเลแห่งหนึ่ง แล้วปรากฏว่าปล่อยไม่ออก  ออกตัวไม่ได้  เพื่อนในกลุ่มแกมาปรับทุกข์กับผู้เขียน โดยพูดแย้ม ๆ ว่า เนี่ยะกลุ้มใจจัง จองคอนโดไว้แล้วขายไม่ออก  ผู้เขียนก็พาซื่อปลอบใจไปว่า โธ่-พี่ ห้องเดียวเอง พี่บอกไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ขายได้ ลดราคาลงมาหน่อยเด่ะ  เจ๊แกก็เลยระบายออกมาว่า พวกเราอยากรวยค่ะ เราเลยซื้อเหมาฟลอร์

          ผู้เขียนซึ่งเวลานั้นทราบข่าวแว่ว ๆ เรื่องคอนโดล้นตลาด ได้แต่อุทานว่า ฉิบหาย! 

          เศรษฐกิจฟองสบู่แตกเมื่อสิบกว่าปี หรือเกือบยี่สิบปีที่แล้วมา  ไม่ได้มีผลกระทบกับชีวิตผู้เขียนมากนัก ขอบคุณพระเจ้า  เพราะตัวเองปลีกวิเวกกลับมาทำสวนอยู่ที่บ้านก่อนหน้านั้นแล้วสองสามปี  เพราะได้พิจารณาชีวิตอาตมาแล้วว่า กลับบ้านเป็นดีที่สุด  อยู่ในหมู่ญาติพี่น้องเขาอยู่กันยังงัยเราก็อยู่ยังงั้น จะตายก็ให้มันรู้ไป  แรก ๆ เคยทำนาข้าวกู้เมืองอยู่ฤดูหนึ่งแล้วเลิกทำ เนื่องจากไม่ได้ผล นกเป็นฝูง ๆ แห่มากินข้าวที่หว่านไว้  จากนั้นก็เลยยกที่นาขึ้นเป็นที่สวน  แล้วไม่เคยคิดถึงสุดสัปดาห์ที่เมืองกาญจน์ หรือระยอง หรือเพชรบุรีอีกเลย  เพราะที่บ้าน ดาวเต็มฟ้าทุกค่ำคืนเดือนมืด – เวลาไม่มีเมฆ 

                    สักรวา ดาวจระเข้ ก็เหหก
                   ศีรษะตก ผันหาง ขึ้นกลางหาว

          คนกรุงเทพฯเขาไม่ดูดาว และไม่รู้จักดาว  เด็กชนบทอย่างผู้เขียนดูดาวมาแต่เล็ก  และเวลาไปไหนก็มีดาวเป็นเพื่อน  ดาวว่าวปักเป้าเป็นดาวที่ผู้เขียนจำได้มาแต่เด็ก  และมันก็ตามผู้เขียนไปทั่วทุกแห่งหนเมื่อแหงนหน้าขึ้นฟ้า ไม่ว่าที่บอร์โดส์ที่กรุงเทพฯที่ชิคาโก หรือที่ไหน ๆ  คืนหนึ่งนานมาแล้ว ระหว่างนั่งเครื่องบินอิลยูชิน 62 ของรัสเซีย บินกลางคืนจากมอสโคว์มาเมืองการาจี ในปากีสถาน ผู้เขียนนั่งมองดาวว่าวปักเป้าอยู่ที่ท้ายเครื่องบินเกือบค่อนคืน  ทุกวันนี้ดาวกลุ่มนี้ สว่างกระจ่างแจ่มอยู่บนฟ้าที่บ้านสวน  ในอดีตอันไกลพี่น้องคนใต้สอนให้ดูดาวกลุ่มนี่ มันอยู่ตรงข้ามกลุ่มดาวจรเข้  ผู้เขียนไม่ทราบว่าภูมิภาคอื่น ๆ ในโลกเขาเรียกมันว่าอะไร  หรือเขาไม่รู้จักก็ไม่รู้ คือเขาไม่ได้มองเห็นเป็นรูปดาวปักเป้า  ถ้าได้พบกับท่านผู้อ่านในคืนเดือนมืด จะชี้ให้ท่านชม..... 

          ทะเลอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ถ้าไปรถก็เพียงสี่หรือห้านาที  ข้ามเขาลูกเล็ก ๆ ไปสองลูก  ถีบจักรยานชนิดมีเฟืองทด ไปถึงชายทะเลได้สบาย ๆ ไม่ทันเหนื่อย แม้จะเป็นทางขึ้นเนิน(ควน)และเลียบไหล่เขาก็ตาม  เวลาอยู่ที่บ้านสวน ทุก ๆ วันคือวันสุดสัปดาห์  ไม่ต้องหนีอะไร  ไม่ต้องไปสุดสัปดาห์ที่ไหนเลย สัปดาห์มันสุดอยู่ที่นี่แล้ว

          แต่นั่นแหละ ในที่สุดมันก็มีวันนึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างเหมือนกัน  เพราะยังไม่ได้อยู่สวรรค์ชั้นฟ้าที่ไหน ไม่ได้เป็นเทวดา--ซึ่งหมายถึงวัตถุฟากฟ้าที่หยุดวิวัฒนาการแล้ว ยังงัยก็ยังงั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง  ถ้าถือสายฟ้าก็จะฟาดสายฟ้าอยู่อย่างนั้น ไม่เคยจะเปลี่ยนมาขว้างระเบิดน้ำตาหรือฉีดน้ำ มั่งเลย  แต่เรายังเป็นมนุษย์ปุถุชนอยู่บนโลก  เรายังนึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศ  อย่างไรก็ดี เวลานี้ไม่เหมือนสมัยก่อน เดี๋ยวนี้ความคิดจะท่องเที่ยวเป็นอารมณ์ที่สุขสงบ ไม่ได้เกิดจากความลำเค็ญมาบีบเหมือนเมื่อก่อน  แล้วการทัศนาจรก็สามารถเป็นไปได้ในรัศมีโดยรอบ เพียงไม่กี่กิโลเมตรก็มีที่ให้ไป  จะแบกเป้ไปก็ได้ จะเดินไปก็ได้ จะไปกางเต้นท์นอนก็ได้อีก  เป้กับถุงนอนและเต้นท์ยังพับไว้พร้อมเสมอ--อยู่บนเรือน นึกสนุกขึ้นมาก็เปลี่ยนบรรยากาศอยู่ในสวนนี่แหละ  ด้วยการกางเต้นนอนในสวน แทนที่จะนอนในบ้าน

          เมื่อเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยบอร์โดส์ ได้รู้จัก(ในทางหนังสือ) เบลซ ปาสกาล ปราชญ์ฝรั่งเศส ซึ่งอดีตประธานาธิบดี จิสการ์ด เดสแต็ง ชอบงานของเขามาก  ปาสกาล เขียนไว้ว่า ความทุกข์ของคนเรา อยู่ที่ไม่รู้จักอยู่ให้เป็นสุขได้ภายในห้องคนเดียว

          ก็หมายความว่า ท่านเห็นว่า การที่เราแบกเป้ไปโน่นไปนี่ เป็นด้วยเหตุที่เราไม่รู้จักอยู่กับที่อย่างเป็นสุข  นักเขียนฝรั่งเศสที่พอมีชื่อเสียงอีกสองสามคน คิดคล้าย ๆ อย่างนั้น  เช่นคนหนึ่ง บ้านเขาอยู่ชานกรุงปารีส แล้วเขามองโลกติดลบอย่างมาก พ้นไปจากเขตบ้านและสวนของเขาแล้ว เขาเห็นว่าโลกเลวหมด มีแต่ชั่วกับชั่ว  ถ้าไม่จำเป็นเขาจะไม่ออกไปไหนพ้นเขตบ้านและสวนของเขา

          คนแถว ๆ บ้านผู้เขียนที่เป็นอะไรคล้าย ๆ อย่างนั้น แต่ไม่ถึงกับเข้มขนาดนั้น ก็มีอยู่เหมือนกัน  คือเขาก็จะไม่ค่อยออกไปไหนพ้นสวนของเขา  เขาบอกว่า เขาอยู่แต่ในสวน เขาไม่ชอบไปไหน  แล้วก็มีอีกคนหนึ่ง แต่ก่อนเคยไปขับมอไซด์รับจ้างในตัวเมือง เดี๋ยวนี้ทำสวนอย่างเดียว  เขาบอกว่าเขาชอบอยู่คนเดียวที่บ้านในสวน  บางทีอยู่กับบ้านเขาก็ไม่นุ่งผ้า—เขาว่าอย่างนั้น  เขาแก้ผ้าอยู่กับบ้าน  คนนุ่งกางเกงในตัวเดียวอยู่กับบ้าน ค่อนข้างเป็นเรื่องปกติ  มีอีกบ้านหนึ่งเป็นญาติห่าง ๆ ของผู้เขียนเขาไม่ยุ่งกับใครเลย  ทำนาทำสวนอยู่กับน้องสาว ซึ่งก็เป็นคนมีอายุแล้วทั้งคู่ บอกบุญเขาก็ไม่รับ ไม่ยอมมีส่วนร่วมใด ๆ กับชุมชนหมู่บ้าน ไม่ไปเลือกตั้ง ฯลฯ  ส่วนผู้เขียนเองก็ชักจะรู้สึกตัวว่า ระยะหลัง ๆ นี้ การนุ่งห่มก็พาลจะหลุด ๆ ลุ่ย ๆ อย่างไรชอบกล.....แต่ก็ยังดีมีมิตร(สตรี)คนหนึ่งคอยเตือนว่า เวลาอยู่บ้านคนเดียวให้นุ่งห่มให้มิดชิดด้วย และเพื่อนอีกคนบอกมาทางมือถือว่า ให้ดูแลตัวเอง อย่าปล่อยตัวมอมแมม 

          ดูเหมือนวอลแตร์จะพูดไว้ -- ผิดพลาดขออภัย พูดไว้ทำนองว่า คนที่ชอบท่องเที่ยวทัศนาจรเป็นคนขาดจินตนาการ  แล้วก็มีคนเล่าให้ฟังอีกว่า ปราชญ์เยอรมัน เอมมานูเอล คานต์ แกก็ไม่เคยไปไหนไกล ๆ  ในขณะที่ความคิดความอ่านของแกกว้างใหญ่ไพศาล  เขาถือกันว่าเป็นเอกในความคิดตะวันตกสมัยใหม่  ประทับใจคนค่อนโลก

          นักเขียนฝรั่งเศสอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่ชอบเดินทางไปเที่ยวที่ไหน  อยู่มาวันหนึ่ง เวรกรรมแท้ ๆ แกนึกอยากไปลอนดอน  แกก็เริ่มศึกษารายละเอียดเรื่องกรุงลอนดอน  ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกิน ภูมิอากาศ และชีวิตผู้คนพลเมือง  ครั้นใกล้ถึงกำหนดวันเดินทางไปลอนดอน แกฉุกคิดขึ้นได้ว่า แกจะทรมานสังขารไปทำไม  อากาศก็อึมครึม อาหารการกินก็ห่วยแตก ผู้คนพลเมืองก็ไม่น่ารัก  แกจึงตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย – งดการเดินทาง

          อุทาหรณ์ของแกมีว่า จะเป็นการโง่มาก -- ถ้าแกจะถ่อสังขารออกเดินทาง เพราะแกเสี่ยงที่จะพบกับลอนดอนที่ไม่เหมือนกับที่เขียนไว้ในหนังสือ  ผิดหวังเปล่า ๆ  ความสุขอันเกิดจากการเตรียมตัวไปเที่ยว เป็นความสุขแห่งการท่องเที่ยวที่บริสุทธิ์  จะเที่ยวจริงให้เจ๋งกว่านี้ไม่ได้แล้ว  คิดได้ดังนั้น แกก็หาเข้าของมาตกแต่งห้องของแก ให้มีอะไรที่เป็นลอนดอน เช่น รูปภาพสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ในลอนดอน รูปร้านผับ(ร้านเหล้า)ของชาวลอนดอน รูปสถานีรถไฟใต้ดิน ถนนหนทาง ฯลฯ  แกก็ได้ไปลอนดอนกับสิ่งเหล่านั้น บวกกับจินตนาการเพิ่มเติมเข้าไป โดยที่แกนั่งชมอยู่ในห้อง

          อุทาหรณ์สำหรับผู้เขียนและท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลายมีว่า โธ่ อาศัยยูทูบและหน้าเว็บต่าง ๆ รวมทั้งเอ็มพี3และเอ็มพี4 เพียงเท่านี้ บวกกับเสียค่าใช้เนตชั่วโมงละสิบห้าบาทตามร้านเนต  แค่นั้น  หรือท่านที่มีสมาร์ทโฟนจอโต ๆ ก็จะยิ่งดี -- เราก็เที่ยวลอนดอนได้แล้ว  และจะได้รับความสุขจาก “ประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบบริสุทธิ์”

          แต่.....ก่อนจะจบบทความชิ้นนี้

          ว่าก็ว่าเถอะ -- ถามหน่อย การท่องเที่ยวมันไม่มีคุณงามความดีอะไรเลย ละหรือ? 

          คำถามนี้—ขอให้ท่านผู้อ่านเก็บไปคิดครับ  เพราะว่าบางคน พอไปเที่ยวแล้วเขาเปลี่ยนสถานะจากที่เคยมีแฟนเป็นศูนย์ กลายเป็นมีแฟนเป็นหนึ่ง-สอง-สาม

         


--------------------------------------------------------------------------------------------

หมายเหตุ – บทความสั้น ชุดปกิณกะชีวิต ตั้งใจว่าจะเขียนเดือนละบทสองบท อาจพลาดพลั้งผิดนัดบ้าง โปรดอภัย จะโพสต์เผยแพร่ตลอดปี 2558 ครับ ที่หน้าบล็อก www.pricha123.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น