ปกิณกะชีวิต
แดง ใบเล่
55555 ดูเหมือนว่าใคร ๆ ก็อยากไปเที่ยวกันทั้งนั้น ถ้าเรามีความพร้อมที่จะไป..... บางคนทั้งที่ไม่พร้อม ก็ยังอยากจะไปเที่ยว ทั้งทางใกล้และทางไกล ทั้งในและนอกประเทศ บางกรณี ที่ ๆ เราจะไปเป็นทางใกล้ แถมยังนอกประเทศอีกด้วย
ก็มีอยู่หลายแหล่ง เช่น ถ้าผู้เขียนจะไปมาเลเซีย ก็ต้องถือว่าเป็น ทางใกล้ เมื่อเทียบกับเชียงใหม่ เพราะว่าสำหรับผู้เขียนซึ่งบ้านอยู่ทางใต้ ไปมาเลเซียระยะทางใกล้กว่าไปเชียงใหม่ หรือถ้าจะไปเที่ยวอินโดเนเซีย ประมาณสี่ร้อยกิโลเมตรจากเกาะภูเก็ต
ก็ถึงเมืองอะแจ บนเกาะสุมาตราตอนบน เมืองอะแจ - ใกล้กว่าอุดรธานีเยอะเลย
ที่อุดรธานี ผู้เขียนไม่ทราบว่าจะไปดูอะไร คนเขาไปทัศนาจรอะไรกันที่อุดรธานี? ก็ในเมื่อผู้เขียนเคยทำงานเหมืองแร่ที่จังหวัดเลย เช่าโรงแรมริมแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงคาน อยู่เป็นเดือน
ๆ เห็นแม่น้ำโขงทุกวัน
ถนนเลียบโขงจากเชียงคาน เพื่อจะเข้าไปในป่ากิ่งอำเภอปากชม
อันเป็นที่ตั้งเหมืองแร่(สมัยนั้น ปากชมยังเป็นกิ่งอำเภอ)ก็สวยงามน่าชม
และผู้เขียนเคยใช้เส้นทางนั้นประจำ
แม่น้ำโขงช่วงนั้นน่าอภิรมย์กว่าที่จะให้ไปเดินห้างที่อุดรธานีเป็นไหน
ๆ ด้วยเหตุนี้เมืองอะแจในสุมาตราจึงน่าไปกว่าอุดรธานี-สำหรับผู้เขียน ท่านผู้อ่านก็เช่นเดียวกัน ท่านก็คงมีที่ไปใกล้
ๆ ที่เป็นต่างประเทศ เช่น คนกรุงเทพฯไปเขมรก็ใกล้มาก ใกล้กว่าจะมาเที่ยวเกาะเต่าเกาะพงันหรือเกาะสมุย แค่ขึ้นรถตู้จากอนุสาวรีย์ชัยฯ ไปไม่นานก็ถึงเขมร
นอกจากเรื่องใกล้-ไกลแล้ว
ข้อพิจารณาท่องเที่ยวของคนเราอีกประการหนึ่งคือ ไปนานหรือไปไม่นาน ไปช่วงเวลาสั้น
ๆ สุดสัปดาห์ เช่น ไปเมืองกาญจน์หรือระยองสำหรับคนกรุงเทพฯ หรือจะไปนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน เช่น
ผู้เขียนกับเพื่อน ๆ เคยแบกเป้ไปยุโรปนานนับเดือน โดยเริ่มจากด้านตะวันออกของยุโรป
แล้วนั่งรถไฟมาทางยุโรปด้านตะวันตก มาเรื่อย ๆ กระทั่งวกลงยุโรปด้านใต้ ไปสุดที่ริมทะเลเมดิเตอเรเนียน ประเทศสเปน เราไปกันเป็นเดือน…..
พ้นจากเรื่องระยะทางใกล้-ไกล
กับระยะเวลานาน-ไม่นาน แล้ว
เราก็มักจะคิดกันเรื่องจุดหมายปลายทางว่า เราจะไปไหนดี เช่น
ไปเมืองกาญจน์ดีหรือว่าไประยองดี ชอบภูเขากับอ่างเก็บน้ำ หรือชอบทะเล ชอบไปอเมริกาหรือยุโรป จะไปเที่ยวเมืองจีนหรือว่าอินเดีย
อยากไปสิงห์คโปร์กับมาเลเซีย
หรือชอบไปนิวกินีมากกว่า
อยากไปอีจิปต์หรือไปเอธิโอเปีย เป็นต้น
มีปมปริศนาอยู่ปมหนึ่ง ที่เรามักจะไม่คิด
ก่อนจะไปท่องเที่ยว ปริศนาดังกล่าวถูกปัดไว้ใต้เสื่อ
โดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ไม่อาจจะทราบได้ ได้แก่คำถามที่ว่า
ทำไม
เราคิดจะไปท่องเที่ยวทัศนาจร?
เรากำลังจะไปหาอะไร? หรือว่าเรากำลังหนีอะไรไปรึเปล่า?
ผู้เขียนลองทบทวนดู สมัยเมื่อยังทำงานรับจ้างอยู่ในกรุงเทพฯ มิตรสหายนิยมที่จะไปสุดสัปดาห์กันตามจังหว้ดใกล้เคียง
ที่เป็นแหล่งธรรมชาติ เช่น กาญจนบุรี ระยอง เพชรบุรี โคราช เป็นอาทิ พวกเราไปทำไม?
ไม่ต้องดัดจริตคิดนาน ตอบได้เลยว่า--เราเบื่องานและเบื่อหน่ายชีวิตประจำวันในกรุงเทพฯ เราต้องการหนีมันไป
หนีได้แค่สุดสัปดาห์ก็ยังดี
ขอโผล่ศีรษะไปหายใจเต็ม ๆ สักเฮือกหนึ่ง ได้แหงนหน้าดูดาวบนฟ้ายามค่ำ
ได้อยู่กับต้นไม้ใบหญ้า ได้ยินเสียงน้ำค้างตกยามดึก ได้ยินเสียงไผ่ต้องลม พวกเราได้เรียกชีวิตที่อับเฉาให้ฟื้นคืนชีพ
ครั้นนึกย้อนกลับไปจากบัดนี้ นึกสงสัยว่า
ทำไมช่วงเวลาชีวิตช่วงนั้น ช่างลำเค็ญขนาดนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย ผู้เขียนเคยคิดเล่น ๆ ในสมัยโน้นว่า ขอเงินเดือนสักครึ่งเดียวแต่ได้กลับไปอยู่บ้านเกิดที่ใต้จะได้ไหม คำตอบก็คือไม่ได้ดอก.....มันไม่มีงานประเภทที่เราพอจะทำได้ให้เราทำ โลกสมัยก่อนไม่ได้เจริญทัดเทียมเป็นระนาบเดียวกันเหมือนสมัยนี้
โทรศัพท์มือถือ เพิ่งจะเริ่มมี ราคาเป็นแสนและใหญ่โตเกะกะ ถึงเราจะมีใช้ก็ไม่รู้จะโทรไปหาใครเพราะมีแต่พวกบิ๊ก
ๆ เท่านั้นเขามีกัน
ปัญหานี้ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะตัวผู้เขียนคนเดียว
เพื่อน ๆ ที่ชอบออกไปสุดสัปดาห์ตามแหล่งธรรมชาติในจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ
ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่มาจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งเหนือ ใต้ กลาง
และอีสาน คนกรุงเทพฯจริง ๆ
ที่ไปกับพวกเรามีน้อยมาก และคนกรุงเทพฯเหล่านั้นสมัยที่ยังเป็นนักศึกษา
จะเคยออกค่ายต่างจังหวัดกันมาก่อน พวกเขาจึงเกาะกลุ่มเด็กต่างจังหวัดมาได้เรื่อย ๆ กระทั่งวัยทำงาน
ครั้งหนึ่ง ยังจำได้
เราไปเช่าแพในอ่างเก็บน้ำเมืองกาญจน์ กลุ่มเราเล็ก ๆ เป็นสหายสตรีกว่าครึ่ง เมื่อได้ทำเลผูกเรือนแพเรียบร้อยแล้ว เราก็กระจัดกระจายกัน หามุมพักผ่อนนอนหลับพอหลับตาลงได้สักครู่เดียว
ปรากฏว่ามีแพขนาดใหญ่สองแพโยงมาด้วยกัน มาผูกแพไม่ห่างจากเรามากนัก พวกเขามากันเยอะมาก แถมยังเปิดดิสโกดังลั่นสนั่นท้องน้ำ
นกหกตกใจบินหนีหมด พวกเขามีเครื่องเสียงขนาดมหิมาใส่แพมาด้วย
เสียงดังราวกับว่าแผ่นน้ำจะกระเพื่อมสั่นเป็นคลื่นยักษ์
ทฤษฎีที่ว่า นักท่องเที่ยวแหล่งธรรมชาติ
ปลีกวิเวกหนีความโกลาหลของเมืองกรุงฯ ที่รถติดระเบิด และยังไม่มีทั้งรถไฟลอยฟ้าและรถไฟใต้ดิน
– ทฤษฎีนั้นผิดหมด ผู้เขียนคิดไม่ออกกระทั่งบัดนี้ว่า คนน่าหนวกหูพวกนั้นเขาหนีอะไรมา
และพวกเขามาหาอะไร? พวกเขาเป็นใคร เป็นคนประเภทไหน?
แต่ผู้เขียนแน่ใจอยู่อย่างว่า สิ่งที่พวกเขาหนีมานั้น จะต้องน่าสยดสยอง มันต้องน่ากลัวมากเลย
ต่อมา ครั้นเศรษฐกิจไทยบูมขึ้นมา
พวกเราแต่ละคนก็มีรายได้เพิ่มขึ้นมาก
รัศมีการท่องเที่ยวของเราก็ไกลขึ้น
ผู้เขียนในฐานะเคยอยู่ต่างประเทศหลายประเทศและพูดได้หลายภาษา
จึงถูกอุปโลกน์หรือบางครั้งก็อุปโลกน์ตัวเอง เป็นมัคคุเทศก์สมัครเล่นให้กับเพื่อน
ๆ พวกเราหันมาแบกเป้ไปแดนไกล ไม่แบกไปใกล้
ๆ เหมือนเดิมอีกต่อไป
ไปทำไม ไกล ๆ? ไปหาอะไรหรือว่าหนีอะไรไป?
ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังบูม
กับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงรอบด้าน ยิ่งก่อความเครียดจัดให้กับพวกเราแต่ละคน เรามีชีวิตอยู่กับความลำเค็ญชนิดพิเศษชนิดหนึ่ง
เป็นความยากจนที่มีเงิน เราพากันใช้เงินที่เรามีกันคนละมาก
ๆ หมายความว่า--มากสำหรับพวกเรา
เพราะเราไม่เคยมีเงินในมือปริมาณนั้นกันมาก่อนในชีวิต เราแบกเป้ไปหาความสะใจกันไกล ๆ ด้วยความเครียดที่พกพามาด้วย
มันตามเรามาเหมือนเงา บางคนมากันเป็นคู่
แล้วผัวเมียทะเลาะกันในทัวร์ก็มี ว่ากันจริง
ๆ เราไม่ใคร่จะได้ “ไปแสวงหา” อะไรกันสักเท่าใด
เรา “หนีอะไรบางอย่างไป” ต่างหาก
ยกตัวอย่าง เพื่อนผู้เขียนบางคน
ไปเที่ยววังอัลฮัมบรา ที่กระนาดา แคว้นอัลดาลูเซีย ประเทศสเปน โดยที่พวกเขาและพวกเธอเพิ่งเคยจะได้ยินชื่อ
อัลฮัมบรา เป็นครั้งแรก
พวกเขาและรวมทั้งผู้เขียนด้วย ไม่ได้รู้เรื่องของอิสลามและชาวมุสลิมที่ปกครองสเปนอยู่เกือบเจ็ดร้อยปี รู้กันแค่ว่าประเทศนี้ สาวตาคม.....
เราไปชมการสู้วัวในสนามสู้วัวกรุงมาดดริด
เห็นมาทาดอร์ฆ่าวัวตายสามสี่ตัว เราก็พากันลุกขึ้น
ชวนกันกลับเพราะสงสารวัว
เราไม่ค่อยจะรู้เรื่องเกี่ยวกับที่ ๆ
เราไป เพราะบอกแล้วไง เราไม่ได้ไปหาอะไร เราหนีบางสิ่งบางอย่างไปต่างหาก ขอให้ได้หนีไปเถอะ ไปตายเอาดาบหน้า
จะพบอะไรก็ช่างมัน ไฮซ้อคนหนึ่งแกซื้อทัวร์ประเภทสามสิบประเทศในสามวัน--อะไรประมาณนั้น
ซึ่งเป็นรายการทัวร์ที่ฮิตสมัยโน้น
แกถ่ายรูปมาเป็นลัง
ผู้เขียนไปเที่ยวบ้านแกแล้วหยิบรูปขึ้นมาดูเรื่อยเปื่อย เห็นรูปหนึ่งแบ๊คกราวน์ดูดี จึงถามแกว่า พี่ ๆ
นี่พี่ถ่ายที่ไหนอ่ะ? ซ้อแกบอกว่า
อุ๊ยอย่าถาม พี่จำไม่ได้แล้วว่าถ่ายที่ประเทศไหนมั่ง
แกวิกลจริต ศักราชคลาดเคลื่อน
ภูมิศาสตร์ก็เป็นคุดทะราด – คิดดู
เมืองสตุตกาตกับเมืองสตราสบูร์ก
แกจำไม่ได้ว่าเมืองไหนอยู่ในเยอรมันและเมืองไหนอยู่ในฝรั่งเศส ไม่รู้ว่าแกเสียเงินไปเที่ยวทำไม แกหนีอะไรไป?
ต่อมาจึงทราบว่า แกเข้าหุ้นกับเพื่อนไปเซ้งคอนโดทั้งฟลอร์(ทั้งชั้น)ที่ชายทะเลแห่งหนึ่ง
แล้วปรากฏว่าปล่อยไม่ออก
ออกตัวไม่ได้
เพื่อนในกลุ่มแกมาปรับทุกข์กับผู้เขียน โดยพูดแย้ม ๆ ว่า เนี่ยะกลุ้มใจจัง
จองคอนโดไว้แล้วขายไม่ออก
ผู้เขียนก็พาซื่อปลอบใจไปว่า โธ่-พี่ ห้องเดียวเอง พี่บอกไปเรื่อย ๆ
เดี๋ยวก็ขายได้ ลดราคาลงมาหน่อยเด่ะ
เจ๊แกก็เลยระบายออกมาว่า พวกเราอยากรวยค่ะ เราเลยซื้อเหมาฟลอร์
ผู้เขียนซึ่งเวลานั้นทราบข่าวแว่ว ๆ
เรื่องคอนโดล้นตลาด ได้แต่อุทานว่า ฉิบหาย!
เศรษฐกิจฟองสบู่แตกเมื่อสิบกว่าปี
หรือเกือบยี่สิบปีที่แล้วมา
ไม่ได้มีผลกระทบกับชีวิตผู้เขียนมากนัก ขอบคุณพระเจ้า เพราะตัวเองปลีกวิเวกกลับมาทำสวนอยู่ที่บ้านก่อนหน้านั้นแล้วสองสามปี เพราะได้พิจารณาชีวิตอาตมาแล้วว่า กลับบ้านเป็นดีที่สุด อยู่ในหมู่ญาติพี่น้องเขาอยู่กันยังงัยเราก็อยู่ยังงั้น
จะตายก็ให้มันรู้ไป แรก ๆ เคยทำนาข้าวกู้เมืองอยู่ฤดูหนึ่งแล้วเลิกทำ
เนื่องจากไม่ได้ผล นกเป็นฝูง ๆ แห่มากินข้าวที่หว่านไว้ จากนั้นก็เลยยกที่นาขึ้นเป็นที่สวน แล้วไม่เคยคิดถึงสุดสัปดาห์ที่เมืองกาญจน์ หรือระยอง
หรือเพชรบุรีอีกเลย เพราะที่บ้าน ดาวเต็มฟ้าทุกค่ำคืนเดือนมืด
– เวลาไม่มีเมฆ
สักรวา ดาวจระเข้ ก็เหหก
ศีรษะตก ผันหาง ขึ้นกลางหาว
คนกรุงเทพฯเขาไม่ดูดาว
และไม่รู้จักดาว
เด็กชนบทอย่างผู้เขียนดูดาวมาแต่เล็ก
และเวลาไปไหนก็มีดาวเป็นเพื่อน
ดาวว่าวปักเป้าเป็นดาวที่ผู้เขียนจำได้มาแต่เด็ก และมันก็ตามผู้เขียนไปทั่วทุกแห่งหนเมื่อแหงนหน้าขึ้นฟ้า
ไม่ว่าที่บอร์โดส์ที่กรุงเทพฯที่ชิคาโก หรือที่ไหน ๆ คืนหนึ่งนานมาแล้ว ระหว่างนั่งเครื่องบินอิลยูชิน
62 ของรัสเซีย บินกลางคืนจากมอสโคว์มาเมืองการาจี ในปากีสถาน
ผู้เขียนนั่งมองดาวว่าวปักเป้าอยู่ที่ท้ายเครื่องบินเกือบค่อนคืน ทุกวันนี้ดาวกลุ่มนี้ สว่างกระจ่างแจ่มอยู่บนฟ้าที่บ้านสวน ในอดีตอันไกลพี่น้องคนใต้สอนให้ดูดาวกลุ่มนี่
มันอยู่ตรงข้ามกลุ่มดาวจรเข้
ผู้เขียนไม่ทราบว่าภูมิภาคอื่น ๆ ในโลกเขาเรียกมันว่าอะไร หรือเขาไม่รู้จักก็ไม่รู้
คือเขาไม่ได้มองเห็นเป็นรูปดาวปักเป้า
ถ้าได้พบกับท่านผู้อ่านในคืนเดือนมืด จะชี้ให้ท่านชม.....
ทะเลอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ถ้าไปรถก็เพียงสี่หรือห้านาที ข้ามเขาลูกเล็ก ๆ ไปสองลูก ถีบจักรยานชนิดมีเฟืองทด ไปถึงชายทะเลได้สบาย ๆ
ไม่ทันเหนื่อย แม้จะเป็นทางขึ้นเนิน(ควน)และเลียบไหล่เขาก็ตาม เวลาอยู่ที่บ้านสวน ทุก ๆ วันคือวันสุดสัปดาห์ ไม่ต้องหนีอะไร ไม่ต้องไปสุดสัปดาห์ที่ไหนเลย
สัปดาห์มันสุดอยู่ที่นี่แล้ว
แต่นั่นแหละ ในที่สุดมันก็มีวันนึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างเหมือนกัน เพราะยังไม่ได้อยู่สวรรค์ชั้นฟ้าที่ไหน
ไม่ได้เป็นเทวดา--ซึ่งหมายถึงวัตถุฟากฟ้าที่หยุดวิวัฒนาการแล้ว ยังงัยก็ยังงั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ถ้าถือสายฟ้าก็จะฟาดสายฟ้าอยู่อย่างนั้น
ไม่เคยจะเปลี่ยนมาขว้างระเบิดน้ำตาหรือฉีดน้ำ มั่งเลย แต่เรายังเป็นมนุษย์ปุถุชนอยู่บนโลก เรายังนึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศ อย่างไรก็ดี เวลานี้ไม่เหมือนสมัยก่อน เดี๋ยวนี้ความคิดจะท่องเที่ยวเป็นอารมณ์ที่สุขสงบ
ไม่ได้เกิดจากความลำเค็ญมาบีบเหมือนเมื่อก่อน
แล้วการทัศนาจรก็สามารถเป็นไปได้ในรัศมีโดยรอบ เพียงไม่กี่กิโลเมตรก็มีที่ให้ไป จะแบกเป้ไปก็ได้ จะเดินไปก็ได้ จะไปกางเต้นท์นอนก็ได้อีก เป้กับถุงนอนและเต้นท์ยังพับไว้พร้อมเสมอ--อยู่บนเรือน
นึกสนุกขึ้นมาก็เปลี่ยนบรรยากาศอยู่ในสวนนี่แหละ
ด้วยการกางเต้นนอนในสวน แทนที่จะนอนในบ้าน
เมื่อเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยบอร์โดส์
ได้รู้จัก(ในทางหนังสือ) เบลซ ปาสกาล ปราชญ์ฝรั่งเศส ซึ่งอดีตประธานาธิบดี
จิสการ์ด เดสแต็ง ชอบงานของเขามาก ปาสกาล
เขียนไว้ว่า ความทุกข์ของคนเรา อยู่ที่ไม่รู้จักอยู่ให้เป็นสุขได้ภายในห้องคนเดียว
ก็หมายความว่า ท่านเห็นว่า การที่เราแบกเป้ไปโน่นไปนี่
เป็นด้วยเหตุที่เราไม่รู้จักอยู่กับที่อย่างเป็นสุข นักเขียนฝรั่งเศสที่พอมีชื่อเสียงอีกสองสามคน
คิดคล้าย ๆ อย่างนั้น เช่นคนหนึ่ง
บ้านเขาอยู่ชานกรุงปารีส แล้วเขามองโลกติดลบอย่างมาก
พ้นไปจากเขตบ้านและสวนของเขาแล้ว เขาเห็นว่าโลกเลวหมด มีแต่ชั่วกับชั่ว
ถ้าไม่จำเป็นเขาจะไม่ออกไปไหนพ้นเขตบ้านและสวนของเขา
คนแถว ๆ บ้านผู้เขียนที่เป็นอะไรคล้าย ๆ
อย่างนั้น แต่ไม่ถึงกับเข้มขนาดนั้น ก็มีอยู่เหมือนกัน คือเขาก็จะไม่ค่อยออกไปไหนพ้นสวนของเขา เขาบอกว่า เขาอยู่แต่ในสวน เขาไม่ชอบไปไหน แล้วก็มีอีกคนหนึ่ง
แต่ก่อนเคยไปขับมอไซด์รับจ้างในตัวเมือง เดี๋ยวนี้ทำสวนอย่างเดียว เขาบอกว่าเขาชอบอยู่คนเดียวที่บ้านในสวน บางทีอยู่กับบ้านเขาก็ไม่นุ่งผ้า—เขาว่าอย่างนั้น
เขาแก้ผ้าอยู่กับบ้าน คนนุ่งกางเกงในตัวเดียวอยู่กับบ้าน
ค่อนข้างเป็นเรื่องปกติ มีอีกบ้านหนึ่งเป็นญาติห่าง
ๆ ของผู้เขียนเขาไม่ยุ่งกับใครเลย ทำนาทำสวนอยู่กับน้องสาว
ซึ่งก็เป็นคนมีอายุแล้วทั้งคู่ บอกบุญเขาก็ไม่รับ ไม่ยอมมีส่วนร่วมใด ๆ กับชุมชนหมู่บ้าน
ไม่ไปเลือกตั้ง ฯลฯ ส่วนผู้เขียนเองก็ชักจะรู้สึกตัวว่า
ระยะหลัง ๆ นี้ การนุ่งห่มก็พาลจะหลุด ๆ ลุ่ย ๆ อย่างไรชอบกล.....แต่ก็ยังดีมีมิตร(สตรี)คนหนึ่งคอยเตือนว่า
เวลาอยู่บ้านคนเดียวให้นุ่งห่มให้มิดชิดด้วย และเพื่อนอีกคนบอกมาทางมือถือว่า ให้ดูแลตัวเอง
อย่าปล่อยตัวมอมแมม
ดูเหมือนวอลแตร์จะพูดไว้ -- ผิดพลาดขออภัย
พูดไว้ทำนองว่า คนที่ชอบท่องเที่ยวทัศนาจรเป็นคนขาดจินตนาการ แล้วก็มีคนเล่าให้ฟังอีกว่า ปราชญ์เยอรมัน
เอมมานูเอล คานต์ แกก็ไม่เคยไปไหนไกล ๆ ในขณะที่ความคิดความอ่านของแกกว้างใหญ่ไพศาล
เขาถือกันว่าเป็นเอกในความคิดตะวันตกสมัยใหม่ ประทับใจคนค่อนโลก
นักเขียนฝรั่งเศสอีกคนหนึ่ง
ซึ่งไม่ชอบเดินทางไปเที่ยวที่ไหน อยู่มาวันหนึ่ง
เวรกรรมแท้ ๆ แกนึกอยากไปลอนดอน แกก็เริ่มศึกษารายละเอียดเรื่องกรุงลอนดอน ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกิน ภูมิอากาศ และชีวิตผู้คนพลเมือง ครั้นใกล้ถึงกำหนดวันเดินทางไปลอนดอน
แกฉุกคิดขึ้นได้ว่า แกจะทรมานสังขารไปทำไม
อากาศก็อึมครึม อาหารการกินก็ห่วยแตก ผู้คนพลเมืองก็ไม่น่ารัก แกจึงตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย – งดการเดินทาง
อุทาหรณ์ของแกมีว่า จะเป็นการโง่มาก -- ถ้าแกจะถ่อสังขารออกเดินทาง
เพราะแกเสี่ยงที่จะพบกับลอนดอนที่ไม่เหมือนกับที่เขียนไว้ในหนังสือ ผิดหวังเปล่า ๆ ความสุขอันเกิดจากการเตรียมตัวไปเที่ยว
เป็นความสุขแห่งการท่องเที่ยวที่บริสุทธิ์
จะเที่ยวจริงให้เจ๋งกว่านี้ไม่ได้แล้ว
คิดได้ดังนั้น แกก็หาเข้าของมาตกแต่งห้องของแก ให้มีอะไรที่เป็นลอนดอน เช่น
รูปภาพสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ในลอนดอน รูปร้านผับ(ร้านเหล้า)ของชาวลอนดอน
รูปสถานีรถไฟใต้ดิน ถนนหนทาง ฯลฯ
แกก็ได้ไปลอนดอนกับสิ่งเหล่านั้น บวกกับจินตนาการเพิ่มเติมเข้าไป โดยที่แกนั่งชมอยู่ในห้อง
อุทาหรณ์สำหรับผู้เขียนและท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลายมีว่า
โธ่ อาศัยยูทูบและหน้าเว็บต่าง ๆ รวมทั้งเอ็มพี3และเอ็มพี4
เพียงเท่านี้ บวกกับเสียค่าใช้เนตชั่วโมงละสิบห้าบาทตามร้านเนต แค่นั้น หรือท่านที่มีสมาร์ทโฟนจอโต ๆ ก็จะยิ่งดี -- เราก็เที่ยวลอนดอนได้แล้ว และจะได้รับความสุขจาก “ประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบบริสุทธิ์”
แต่.....ก่อนจะจบบทความชิ้นนี้
ว่าก็ว่าเถอะ -- ถามหน่อย
การท่องเที่ยวมันไม่มีคุณงามความดีอะไรเลย ละหรือ?
คำถามนี้—ขอให้ท่านผู้อ่านเก็บไปคิดครับ เพราะว่าบางคน
พอไปเที่ยวแล้วเขาเปลี่ยนสถานะจากที่เคยมีแฟนเป็นศูนย์ กลายเป็นมีแฟนเป็นหนึ่ง-สอง-สาม
Posted at www.pricha123.blogspot.com
--------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ – บทความสั้น ชุดปกิณกะชีวิต
ตั้งใจว่าจะเขียนเดือนละบทสองบท อาจพลาดพลั้งผิดนัดบ้าง โปรดอภัย
จะโพสต์เผยแพร่ตลอดปี 2558 ครับ
ที่หน้าบล็อก www.pricha123.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น