ปกิณกะชีวิต
โดย แดง ใบเล่
เรื่องเพื่อนฝูงมิตรสหาย
เป็นประเด็นชีวิตที่เรามองข้าม เพราะถือเป็นเรื่องสามัญธรรมดา ใคร ๆ ก็รู้ ๆ
กันอยู่แล้ว กระทั่งมีเฟสบุคและโปรแกรมสังคมสัมพันธ์ต่าง
ๆ ขึ้นมาในอินเตอร์เนต
เรื่องมิตรสหายเพื่อนฝูงจึงกลายเป็นประเด็นสะกิดใจ หลาย ๆ คนถูกถากถางด้วยประโยคยอดนิยม
ขออภัยถ้าน่าเบื่อ คือประโยคที่ว่า มีเพื่อนเป็นแสน-มีแฟนเป็นศูนย์
เรา หมายถึง ผู้เขียนและอาจจะรวมท่านผู้อ่านบางท่าน
ก็เลยนึกสงสัยว่า สองเรื่องนี้เกี่ยวข้องเป็นเหตุเป็นผลแก่กันและกันหรือไม่ หรือว่าเ เป็นคนละเรื่องเดียวกัน
หมายความว่า การที่เรามีเพื่อนเป็นแสน
ไม่ได้เป็นเหตุให้เรามีแฟนเป็นศูนย์แต่ประการใด
และการที่เรามีแฟนเป็นศูนย์ก็ไม่ใช่สาเหตุที่จะทำให้เรามีเพื่อนเป็นแสน
ถ้ากระนั้น ถ้ามันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
น่าจะหมายความว่ากระไร
ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านจะคิดอย่างไร แต่ผู้เขียน-โดยสามัญสำนึกของตนเอง
คิดว่า เพื่อนกับแฟน คงจะเป็นคนละเรื่อง แต่จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน
คือประเภทมิตรภาพและความรัก ภาษากฎหมายท่านบอกว่า ถ้าแบ่งสิ่งของออกเป็น “ประเภท” จะหมายถึงกลุ่มใหญ่
และในกลุ่มใหญ่นั้นซอยย่อยแตกออกเป็น “ชนิด” ต่าง ๆ ได้นานาชนิด ชนิดจึงหมายถึงสิ่งย่อยที่อยู่ในกลุ่มใหญ่
ถ้าจะนับ เพื่อนกับแฟน สังกัดในประเภทของความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมซึ่งมี
“อารมณ์รัก” เป็นแกน
ไม่ใช่ความสัมพันธ์ประเภทลูกค้า-คู่ค้า
นายจ้าง-ลูกจ้าง หรือผู้บังคับบัญชา-ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือความสัมพันธ์ทางการเมือง เช่น
นายกเทศมนตรี-ประชาชน หรือประธานอบต.-ราษฎร
เพื่อนกินสิ้นทรัพย์แล้ว แหนงหนี
หาง่ายหลายหมื่นมี มากได้
เพื่อนตายถ่ายแทนชี- วาอาตม์
หายากฝากฝีใข้ ยากแท้จักหา
ฯ
ท่านผู้อ่าน
ทราบความโคลงโลกนิตบทนี้ดีอยู่แล้ว ผู้เขียนจึงเพียงยกขึ้นมาอ่านทวนกันเล่น ๆ และขอข้ามไปประเด็นอื่น
อาจารย์ท่านหนึ่ง ในโรงเรียนเก่าที่ผู้เขียนเคยเรียน คือ มหาวิทยาลัยชิคาโก
ท่าน
ประกาศแก่โลกเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน
ด้วยหนังสือขายดีเกี่ยวกับความว้าเหว่ของชีวิตคน ตีพิมพ์ปี 2551 ว่า การเข้าพวก
เข้ากลุ่ม เข้าฝูงของมนุษย์ ถือเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการวิวัฒนาการของสรรพชีวิต แรงกระตุ้นให้เราคบเพื่อนคบฝูง คือ
ความรู้สึกว้าเหว่ เดียวดาย ไร้ที่พึ่ง ซึ่งว่าที่จริงมีคุณอนันต์ และทำหน้าที่ให้กับมนุษย์เช่นเดียวกับ ความหิว
ความกระหาย หรือความเจ็บปวด ความหิวผลักดันให้คนหาอาหาร ความว้าเหว่กระตุ้นให้คนหามิตร อาการปวดฟันบังคับให้คนกินพาราเซ็ตตาม็อน—ประโยคท้ายผู้เขียนเติมเอาเองโดยพละการ
ถ้าเด็กไม่มีความว้าเหว่คอยเตือนให้เข้าพวกเข้าฝูง ท่านว่าเสือจะเอาไปกิน เพราะเด็กที่ไม่รู้จักว้าเหว่ มันจะเที่ยวเดินเล่นอยู่คนเดียวในป่า มันไม่คิดถึงใคร ไม่คิดถึงพ่อแม่
เที่ยวเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ๆ เสือก็เลยเอามันไปกิน วิชาประสาทวิทยาสมัยใหม่ – nuroscience – ท่านว่า
มันไม่มีการปล่อยสาร โดปามีน ออกมาในสมอง
ดิจิทัลเทคโนโลยี ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับสัมพันธภาพฉันท์มิตรของมนุษย์ เรื่องมิตรภาพ ที่ถูกละเลยมานาน จึงถูกกระตุ้นด้วยเทคโนโลยีชนิดนี้
ให้กลายเป็นประเด็นชีวิตที่เด่นขึ้นมาในปัจจุบัน ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเป็นนิมิตรหมายอันดี ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านจะเห็นอย่างไร นายมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ต้นคิดและเจ้าของกิจการเฟสบุค
แกภาคภูมิใจว่าซอฟต์แวร์นี้ของแก ได้ช่วยมนุษย์จำนวนมากในโลก ให้ได้มีเพื่อนฝูงมิตรสหาย แต่--แกเตือนว่าขอให้ใช้เป็นอะหลั่ยเท่านั้น
ในชีวิตเรา ๆ ต้องมีเพื่อนที่เป็นมนุษย์ที่มีตัวตนจริง ๆ ที่พบเห็นและสังสรรค์กันจริง
ๆ ไม่ใช่มีแต่เพื่อนเฟสบุค เวลานี้แกแต่งเมียไปแล้ว
เมียแกเป็นสาวชาวเกาหลี-ส่วนตัวแกเป็นคนยิว
ในพระไตรปิฎก ซึ่งมีอยู่ “สามตะกร้า”
ภาษาบ้าน ๆ เรียก พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม
ในพระสูตร--ซึ่งภาษาวัดเรียกอย่างเป็นทางการว่า “สุตตันตปิฎก”
อันเป็นฉบับรวมเทศน์ หรือ collection ของเทศนาของพระพุทธเจ้าและพระอาจารย์ดัง
ๆ สมัยโบราณ
มีเทศน์เกี่ยวกับเพื่อนและมิตรภาพเอาไว้
ขอคัดตรงจาก สุตตันตปิฎก ดังนี้
มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์
๑ มิตรแนะประโยชน์ ๑ มิตรมีความรักใคร่ ๑ ท่านพึงทราบว่า
เป็นมิตรมีใจดี
[เป็น มิตรแท้] ฯ
โดยสถาน
๔ คือ รักษาเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑ รักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้
ประมาทแล้ว
๑ เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้ ๑ เมื่อกิจที่จำต้องทำเกิดขึ้นเพิ่มทรัพย์ให้
สองเท่า
[เมื่อมีธุระช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก] ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร มิตร
มีอุปการะ
ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ
แท้โดยสถาน
๔ คือ บอกความลับ [ของตน] แก่เพื่อน ๑ ปิดความลับของเพื่อน ๑
ไม่ละทิ้งในเหตุอันตราย
๑ แม้ชีวิตก็อาจสละเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนได้ ๑ ดูกร
คฤหบดีบุตร
มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔
เหล่านี้แล
ฯ
แท้โดยสถาน
๔ คือ ห้ามจากความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑ ให้ได้ฟังสิ่งที่ยัง
ไม่เคยฟัง
๑ บอกทางสวรรค์ให้ ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรแนะประโยชน์ ท่านพึง
ทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ
โดยสถาน
๔ คือ ไม่ยินดีด้วยความเสื่อมของเพื่อน ๑ ยินดีด้วยความเจริญของ
เพื่อน
๑ ห้ามคนที่กล่าวโทษเพื่อน ๑ สรรเสริญคนที่สรรเสริญเพื่อน ๑ ดูกรคฤหบดี
บุตร
มิตรมีความรักใคร่ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ
--พระไตรปิฎก: พระสุตตันตปิฎก
เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
เทศนาเรื่องนี้ดีอย่าง
ตรงที่ท่านทำ check-list มาให้เลย ว่ามิตรแท้แต่ละประเภทมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
(สถานใด) ส่วนคำว่า คฤหบดีบุตร
นั้น ทำให้เราชัวร์ปึ้ก
ว่าแบบนี้เทศน์ให้พวก “เสี่ย” ฟังแหงเลย
เพราะ เสี่ย ก็คือลูกของพวก เถ้าแก่
แต่ผู้เขียนเห็นว่าเราท่านผู้ที่บิดาไม่ได้เป็นเถ้าแก่
ตัวเราก็เลยไม่ได้เป็นเสี่ย
เราท่านสามัญชนคนธรรมดาทั้งหลายก็น่าจะลองฟัง ๆ คำเทศน์นี้ดู แล้วคิดเอาเองว่าจะใช้ได้แค่ไหนเพียงใด –
พระพุทธเจ้าสอนว่าให้คิดก่อนเชื่ออยู่แล้ว.....
เช้าวันหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน ผู้เขียน--มีเพื่อนไปด้วย--เดินอยู่ไม่ไกลจาก
ถนนซัดเดอร์ สตรีท แหล่งรวมพลชุมชนคนแบกเป้ ในเมืองกัลกัตตา อินเดีย สภาพคล้าย ๆ ถนนข้าวสารในกรุงเทพฯ พอเอ่ยขึ้นมาอย่างนี้ท่านผู้อ่านเดาถูกเลยว่า
ผู้เขียนคงไม่ได้พักโรงแรมห้าดาวแน่นอน.....
ที่นั่น--ผู้เขียนได้พบกับโรงทานริมถนน เขาแกงถั่วมาตักแจกคนจน และเพื่อไม่ให้ท่านผู้อ่านบางท่าน เดาเตลิดเปิดเปิง
เถิดเทิงรำมะนาต่อไป ว่าผู้เขียนคงจะไปยืนต่อคิวแขก รอกินแกงถั่วฟรีแหงเลย ก็จะขอเบรคไว้ก่อนว่า
เมนูนี้ - ผมไม่.....แกงถั่วไม่ชอบ ชอบกินกูระหม่าแพะ
โรงทานริมถนนในกัลกัตตา ชวนให้นึกถึง
แม่ชี เทเรซา ผู้ล่วงลับไปแล้วซึ่งหลานชายเคยอาสาสม้ครไปช่วยงานกุศลของท่านที่นั่น ผู้เขียนนึกถึงคำพูดแม่ชี ที่ว่า
ความยากจนใด จะยิ่งไปกว่าความว้าเหว่ ไม่มี
ความลำเค็ญใด จะยิ่งกว่าความรู้สึกว่าไม่มีใครรัก
ไม่มีใครเมตตา ไม่มี
- แม่ชี เทเรซา
แห่งกัลกัตตา
ท่านผู้ที่เคยมีชีวิตผ่านยุคมิตรภาพทางจดหมาย(pen
friends) มาจนถึงยุคเครือข่ายสังคมสัมพันธ์(social
networking) ท่านผู้นั้นย่อมเป็นพยานได้ว่า
แม่ชี เทเรซา พูดความจริง
ความจริงอีกประการหนึ่ง
ที่เป็นคุณต่อภราดรภาพยุคเครือข่ายสังคมสัมพันธ์ ทางสื่อสมัยใหม่ เช่น
โทรศัพท์สมาร์ทโฟน เป็นต้น ได้แก่สิ่งที่
อะริสโตเติล เตือนสติไว้ตั้งแต่ประมาณยุคพุทธกาล ที่ว่า
การนึกปรารถนา อยากจะเป็นเพื่อนกัน เกิดขึ้นไว
แต่
มิตรภาพจะเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป เสมอ
-
อาจารย์ อะริสโตเติล
ใครจะทราบความจริงข้อนี้
ได้ดีเท่าผู้เป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนทั้งหลายอีกเล่า
มิตรภาพจะไม่เกิดเพียงเพราะเราได้สัมผัสปลายนิ้วลงบนหน้าจอครั้งสองครั้ง มิตรภาพจะงอกงามขึ้นจากการได้เดินทางไปมาหาสู่กัน
เกิดที่โต๊ะกาแฟ หรือระหว่างพักการประชุมสัมมนา หรือระหว่างการไปทัวร์
ชนิดล่องแก่งหรือแคมปิงหรือเดินเขา อะไรประมาณนั้น กิจกรรมช่วยให้เราได้ก่อมิตรภาพ ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า บ่อเกิดของมิตรภาพล้วนต้องใช้
“เวลา” ทั้งนั้น
ถ้าเราไม่มีเวลาหรือมีเวลาไม่ตรงกัน มิตรภาพอาจจะก่อขึ้นยากกว่ากรณีที่ เราต่างก็มีเวลาด้วยกัน
ผู้เขียนเชื่อว่า
มิตรภาพเป็นเรื่องของ slow life…..ส่วนคนที่มีชีวิต fast
track ชนิดวิ่งร้อยเมตรทั้งหลาย ล้วนน่าเห็นใจ – มิตรภาพเป็นไปได้สำหรับพวกเขา
แต่คงจะต้องใช้ความเพียรเข้ม ๆ และอดทนมาก
ๆ ท่านที่สนใจเรื่องมิตรภาพและการมีเวลาจะเสีย
น่าจะลองตอบคำถามนี้ดู – ตั้งแต่ออกจากโรงเรียน เราท่านมีเพื่อใหม่กี่คน
สำหรับท่านผู้อ่านที่รู้ภาษาฝรั่งเศส จะคลิกฟังคำแนะนำสั้น ๆ จากนายดาวิด ลาโรช
เรื่องวิธีสร้างมิตรภาพภายในสองนาที ที่ลิงก์นี้ดูเล่น ๆ ก็ได้นะครับ พวกปัญญาชนจะไม่ชอบรายการประเภท self-help
แบบนี้ รวมทั้งปัญญาชนฝรั่งเศสด้วย
แต่ผู้เขียนคิดว่าเราควรเปิดใจให้กว้างและคิดด้วยเหตุด้วยผล รายการ self-help ถ้าไม่ถึงกับดูหมิ่นสติปัญญาผู้ชมก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย สำหรับท่านที่ไม่รู้ภาษาฝรั่งเศส-ในตอนท้ายวีดีโอ
เขาจะมีตัวอักษรขึ้นจอ ระบุประเด็นที่เขาเห็นว่า จะช่วยอำนวยความสะดวกให้เราสร้างมิตรได้ไว
ท่านสามารถหยุดวีดีโอ
แล้วลองเคาะหาคำแปลจากกูเกิ้ลดูแล้วกันครับ ไม่ยากหรอก และคงไม่เหลือบ่ากว่าแรง
https://www.youtube.com/watch?v=Js-WXLY6kqU
หรือพิมพ์ในยูทูบว่า Comment se faire des amis en moins de 2 minutes - 5 clés
จำเป็นจะต้อง
“น่ารัก” หรือไม่ จึงจะมีเพื่อนกับเขาได้
ประเด็นนี้ อะริสโตเติล ตอบไว้เมื่อยุคพุทธกาล ว่า
ความรัก จะเกิดได้กับสิ่งที่น่ารัก เท่านั้น
-
อาจารย์ อะริสโตเติล
เอ๊ะ แล้วเราเป็น “สิ่งที่น่ารัก” รึเปล่าวะเนี้ยะ
สงสัยตัวเองฉิบหายเลย บางท่านอาจนึกเอะใจขึ้นมาเช่นนั้น
แต่ว่า
คนหน้าตาดี ใช่ว่าจะเป็นหลักประกันว่า จะมีมิตรภาพที่ดี เพราะ อะริสโตเติล แบ่งมิตรภาพออกเป็นสามชนิดง่าย
ๆ และไม่ได้เน้นเรื่องรูปร่างหน้าตา
การแบ่งคร่าว ๆ ของ อะริสโตเติล ช่วยเราได้มิใช่น้อย--ในการพิจารณาเรื่องเพื่อนและมิตรภาพ
ชนิดแรก ได้แก่
มิตรภาพที่เกิดจากความมีประโยชน์ต่อกัน
-ซึ่งช่วยอธิบายให้เราทราบว่า
ทำไมเมื่อเราออกจากงานหนึ่งไปทำงานที่อื่น
มิตรภาพที่เคยมีในสำนักงานเดิม
จึงจืดจางลงง่ายดาย
ชนิดที่สอง ได้แก่
มิตรภาพที่เกิดจากความเพลิดเพลินเจริญใจด้วยกัน
-ซึ่งช่วยอธิบายว่า
เมื่อวงแอโรบิคในสวนสาธารณะ ถูกยกเลิกไป
มิตรภาพที่เคยมี
จากการเดินไปกินน้ำเต้าหู้ด้วยกันหลังเลิกแอโรบิค ก็ย่อมจะเลิกรา
ชนิดที่สาม ได้แก่ มิตรภาพที่เกิดจาก สิ่งใดดี
สิ่งนั้นน่ารัก
-ซึ่งหมายความว่า
ต่างฝ่ายต่างพอใจในตัวตน ของกันและกัน
ช่วยอธิบายว่า
ทำไมเพื่อนแก้ว จึงอยู่ยั้งยืนนาน
จะอย่างไรก็ตาม ถ้าเราอยากเป็น ที่รัก
ของใครสักคนหนึ่ง หรือสักสองสามคน เราก็น่าที่จะหันมามองตน
ดูซิว่าตัวเรามีอะไร น่ารัก บ้าง
เพราะ อะริสโตเติล บอกว่า ความรักจะเกิดแก่สิ่งที่น่ารักเท่านั้น ยกตัวอย่างเรื่องรูปร่างหน้าตาอันเป็นสิ่งที่เห็นกันง่าย
ๆ ถ้าตัวเรา เนื้อตัวเป็นด่างเป็นดวง ปากก็ห้อย
พุงก็ย้อย หน้าผากแคบ ย่นเหมือนลิง ศัลยแพทย์ความงาม
พากันทิ้งมีดผ่าตัด สิ้นหวัง…..
เราคงต้องหันไปสร้างสรรค์ปรุงความ น่ารัก
กับคุณสมบัติที่ไม่ใช่เรื่องของร่างกาย
ซึ่งโชคดีก็เป็นของเราอีก เพราะคนฉลาด ๆ ที่เขามองทะลุเรื่องร่างกายมีถมไป.....ถึงแม้ว่าคนฉลาด
ๆ เหล่านั้นหลาย ๆ คน จะหน้าตาอัปลักษณ์ยิ่งกว่าเรา ก็ช่างมันเถิด
กรณีนี้ หากเป็นมิตรต่างแพศ ถ้ารักกันถึงขั้นแต่งก็อย่ามีลูกนะ--ขอร้อง
Posted at www.pricha123.blogspot.com
--------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ – บทความสั้น ชุดปกิณกะชีวิต
ตั้งใจว่าจะเขียนเดือนละบทสองบท อาจพลาดพลั้งผิดนัดบ้าง โปรดอภัย
จะโพสต์เผยแพร่ตลอดปี 2558 ครับ
ที่หน้าบล็อก www.pricha123.blogspot.com
อ่านแล้วรู้สึกได้ว่า ต้องย้อนกลับมาดูตัวเองเลย
ตอบลบ