open letter no 2

Chicago 2 why Chicago

Chicago 2 ทำไม ผมต้องดัดจริต ฟังวิทยุชิคาโก ด้วย? ๑.    ผมติดนิสัยชอบฟังวิทยุตปท. จากแดนไกลเป็นนิสัยมาแต่มัธยม เพื่อฝึกภาษา ประกอบกับมีผู...

วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2560

Village Life: คุณนายกะเปิ้บกะป้าบ

Village Life
คุณนายกะเปิ้บกะป้าบ

เรื่องชีวิตผัวเมีย เป็นสาระสำคัญอย่างหนึ่งแห่งการพูดจา ติฉินนินทา เสวนา กระซิบกระซาบ ทางโซเชียลมีเดีย ของหมู่บ้าน  อันได้แก่ที่ร้านกาแฟ ที่ร้านขายของชำ และร้านขายขนมภาคเช้า

คุณนายกะเปิ้บกะป้าบ แกหายไปจากหมู่บ้านนานปีกว่า  ไปอยู่บ้านผัวใหม่ของแก ซึ่งเป็นสามีคนที่สองหรือสาม บ้านอยู่บนควน(บนเนินเขา)ในอีกหมู่บ้านหนึ่งไกลออกไป  แก่ไปอยู่กับเขาซึ่งเป็นพ่อหม้าย แต่ลูกเต้าโตหมดแล้ว จนมีหลานแล้ว



การจับคู่ของคนมีอายุเป็นเรื่องธรรมดาที่บ้านผม  ไม่ได้แตกต่างจากการจับคู่ของคนหนุ่มสาวมากนัก  เพียงแต่ว่า คนมีอายุจะไม่จัดงานแต่งงานให้เป็นที่เอิกเกริก ยกเว้นนาน ๆ ครั้ง บางคู่เขาจัดงานแต่ง พิธีเหมือนหนุ่มสาวแต่งงาน ซึ่งพวกเขามักจะมีเหตุผลที่ดีพิเศษ ที่จะทำเช่นนั้น

ตัวอย่างเช่น คู่หนึ่ง เขาทั้งคู่เคยเป็นกิ๊กกันมาสมัยหนุ่มสาว หรือวัยรุ่น  แล้วชะตากรรมมาทำให้พลัดพรากจากกัน ฝ่ายชายไปมีเมีย ฝ่ายหญิงแยกไปมีโอกาสเข้ารับราชการในตัวเมือง และทำราชการไต่เต้าจนเกษียณอายุราชการ และอยู่เดี่ยว ๆ กระทั่งเกษียณ

อยู่มาวันหนึ่ง บังเอิญว่าฝ่ายชายก็กำลังเป็นพ่อหม้ายเมียตาย ไม่ใช่พ่อร้างที่เลิกกับเมีย  คนทั้งคู่เขาก็มาแต่งงานกัน จัดงานแต่งงานใหญ่โต ขนาดผู้ว่าราชการจังหวัดยังได้รับเชิญมาในงาน

เนื่องจากฝ่ายหญิงเป็นคนรุ่นน้ารุ่นอาของผู้เขียน และสนิทสนมกัน  ผู้เขียนได้ถามท่านว่า เป็นงัยบ้าง-ชีวิตแต่งงาน ดีไหม?

ท่านตอบว่า ดี-ดี แต่งสิ ดีนะ...

ต่อจากนั้น ผู้สูงวัยแต่จิตใจหนุ่มสาวทั้งคู่ ก็อยู่กินฉันท์ผัวเมียกันมานานนับสิบกว่าปี กระทั่งฝ่ายหญิงตายลงในวัยเจ็ดสิบเศษ ใกล้จะแปดสิบ  ฝ่ายชายก็กลายเป็นพ่อหม้ายคำรบสอง...และเขาก็ไปหาแม่หม้ายผัวตายคนหนึ่ง ได้อยู่กินด้วยกันมาตราบเท่าบัดที่กำลังเขียนนี้

คู่ที่เล่ามานั้น เขาเป็นคนระดับปัญญาชนคนอ่านออกเขียนได้ การศึกษาระดับมัธยมต้นสมัยก่อน ไม่ใช่ ขี้ ๆ  ทั้งคู่อยู่ในขั้นผู้นำหมู่บ้าน พูดอะไรก็รู้เรื่อง เข้าเจ้าเข้านาย(ข้าราชการ)ได้ดี  ส่วนกรณีคุณนายกะเปิ้บกะป้าบของเรานั้น เธออ่านหนังสือออกเพียงบางตัว แต่ว่าเธอมีประสบการณ์ชีวิต เคยมีลูกกับผัวคนแรก ต่อมาทั้งลูกและผัวตายจากไปในต่างกรรมต่างวาระ แกก็มีสามีใหม่ตามประสาแม่หม้ายหลาย ๆ คน เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับที่บ้านผม

การพูดการจาของแก เท่าที่ผู้เขียนมีประสบการณ์ แกจะพูดจากซักไซ้ไล่เรียง เจาะเอาข้อมูล คล้ายกับที่ทางโรงพยาบาลซักประวัติคนไข้  ทำราวกับว่าคู่สนทนาเป็น “เหยื่อ” ของแก ที่แกจะต้องหาทางขม้ำให้ได้  อย่างน้อยผู้เขียนรู้สึกอย่างนั้น คล้าย ๆ กับว่า ถ้าแกขม้ำไม่ได้ด้วยมนตร์หรือกล ก็จะเอาให้ได้ด้วยคาถา...แกน่ากลัวมากเลย

อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากที่ซักไซ้ไล่เรียงจนรู้ว่าผู้เขียนเลิกใช้เตาแก้สประกอบอาหาร แต่หันมาใช้ไฟฟ้าแทน  แกก็ออกปากยืมถังแก้สปิกนิกของผู้เขียนทันที ที่ช่องเปิด...

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนก็ระวังตัวที่จะไม่สนทนากับคุณนายกะเปิ้บกะป้าบสองต่อสอง แม้ในที่สาธารณะ เพราะผู้เขียนไม่ใช่คนเก่งกาจอะไร เป็นคนขี้กลัว 

ร้อนเพื่อนบ้านสตรีที่นั่งฟังการสนทนาอยู่ด้วย แกทนฟังไม่ใหว หมายถึงทนคุณนายกะเปิ้บกะป้าบไม่ไหว ร้องห้ามผู้เขียนขึ้นมาว่า “อย่าให้ยืม!”

เวลานั้น คุณนายกะเปิ้บกะป้าบ ทะเลากับผัวบนควน(บนเนินเขา) แล้วลงมาอาศัยอยู่กับญาติในหมู่บ้าน  ซึ่งญาติในหมู่บ้านนินทาให้ผู้เขียนฟังว่า ดูเด่ะ ลงมาแล้วจะกะเกณฑ์ให้ญาติพี่น้องข้างล่างนี้ปลูกขนำให้อยู่  โธ่-ญาติเขาสังเวชใจ ถ้าซื้อเสาเรือน อิฐ หิน ปูน ทราย และไม้มาสักกอง แล้วมาขอแรงกัน ยังพอว่า นี่อะไรมีแต่ออกปากตอแหลจะเอาลูกเดียว...

ต่อมาอีก เจ้าของบ้านที่ให้คุณนายอยู่อาศัย ซึ่งเป็นน้องชาย ก็ด่าคุณนายเรื่องกะเปิ้บกะป้าบจะเอาลูกเดียว และไม่ดูตาม้าตาเรือ  เห็นคนเป็นเหยื่อที่จะเขมือบได้เหมือน ๆ กันหมด  เขาด่าว่า อย่าปากไว ดีแต่พูดไชเข้าไป จะเอาแต่ได้ของคนอื่นเขา  

คุณนายกะเปิ้บกะป้าบทนไม่ได้ หรือโดนไล่กลาย ๆ แกก็กลับไปดีกับผัวบนควน ออกไปจากหมู่บ้าน เพราะแม้แต่ญาติตัวก็ยังไม่เล่นด้วย

บ๊ายบาย คุณนายกะเปิ้บกะป้าบ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น