Village Life
คุณนายกะเปิ้บกะป้าบ
เรื่องชีวิตผัวเมีย
เป็นสาระสำคัญอย่างหนึ่งแห่งการพูดจา ติฉินนินทา เสวนา กระซิบกระซาบ
ทางโซเชียลมีเดีย ของหมู่บ้าน
อันได้แก่ที่ร้านกาแฟ ที่ร้านขายของชำ และร้านขายขนมภาคเช้า
คุณนายกะเปิ้บกะป้าบ
แกหายไปจากหมู่บ้านนานปีกว่า ไปอยู่บ้านผัวใหม่ของแก
ซึ่งเป็นสามีคนที่สองหรือสาม
บ้านอยู่บนควน(บนเนินเขา)ในอีกหมู่บ้านหนึ่งไกลออกไป แก่ไปอยู่กับเขาซึ่งเป็นพ่อหม้าย
แต่ลูกเต้าโตหมดแล้ว จนมีหลานแล้ว
การจับคู่ของคนมีอายุเป็นเรื่องธรรมดาที่บ้านผม ไม่ได้แตกต่างจากการจับคู่ของคนหนุ่มสาวมากนัก เพียงแต่ว่า
คนมีอายุจะไม่จัดงานแต่งงานให้เป็นที่เอิกเกริก ยกเว้นนาน ๆ ครั้ง
บางคู่เขาจัดงานแต่ง พิธีเหมือนหนุ่มสาวแต่งงาน ซึ่งพวกเขามักจะมีเหตุผลที่ดีพิเศษ
ที่จะทำเช่นนั้น
ตัวอย่างเช่น คู่หนึ่ง
เขาทั้งคู่เคยเป็นกิ๊กกันมาสมัยหนุ่มสาว หรือวัยรุ่น แล้วชะตากรรมมาทำให้พลัดพรากจากกัน
ฝ่ายชายไปมีเมีย ฝ่ายหญิงแยกไปมีโอกาสเข้ารับราชการในตัวเมือง
และทำราชการไต่เต้าจนเกษียณอายุราชการ และอยู่เดี่ยว ๆ กระทั่งเกษียณ
อยู่มาวันหนึ่ง บังเอิญว่าฝ่ายชายก็กำลังเป็นพ่อหม้ายเมียตาย
ไม่ใช่พ่อร้างที่เลิกกับเมีย
คนทั้งคู่เขาก็มาแต่งงานกัน จัดงานแต่งงานใหญ่โต
ขนาดผู้ว่าราชการจังหวัดยังได้รับเชิญมาในงาน
เนื่องจากฝ่ายหญิงเป็นคนรุ่นน้ารุ่นอาของผู้เขียน
และสนิทสนมกัน ผู้เขียนได้ถามท่านว่า
เป็นงัยบ้าง-ชีวิตแต่งงาน ดีไหม?
ท่านตอบว่า ดี-ดี แต่งสิ ดีนะ...
ต่อจากนั้น ผู้สูงวัยแต่จิตใจหนุ่มสาวทั้งคู่
ก็อยู่กินฉันท์ผัวเมียกันมานานนับสิบกว่าปี กระทั่งฝ่ายหญิงตายลงในวัยเจ็ดสิบเศษ
ใกล้จะแปดสิบ
ฝ่ายชายก็กลายเป็นพ่อหม้ายคำรบสอง...และเขาก็ไปหาแม่หม้ายผัวตายคนหนึ่ง
ได้อยู่กินด้วยกันมาตราบเท่าบัดที่กำลังเขียนนี้
คู่ที่เล่ามานั้น เขาเป็นคนระดับปัญญาชนคนอ่านออกเขียนได้
การศึกษาระดับมัธยมต้นสมัยก่อน ไม่ใช่ ขี้ ๆ
ทั้งคู่อยู่ในขั้นผู้นำหมู่บ้าน พูดอะไรก็รู้เรื่อง
เข้าเจ้าเข้านาย(ข้าราชการ)ได้ดี
ส่วนกรณีคุณนายกะเปิ้บกะป้าบของเรานั้น เธออ่านหนังสือออกเพียงบางตัว แต่ว่าเธอมีประสบการณ์ชีวิต
เคยมีลูกกับผัวคนแรก ต่อมาทั้งลูกและผัวตายจากไปในต่างกรรมต่างวาระ
แกก็มีสามีใหม่ตามประสาแม่หม้ายหลาย ๆ คน เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับที่บ้านผม
การพูดการจาของแก เท่าที่ผู้เขียนมีประสบการณ์
แกจะพูดจากซักไซ้ไล่เรียง เจาะเอาข้อมูล
คล้ายกับที่ทางโรงพยาบาลซักประวัติคนไข้
ทำราวกับว่าคู่สนทนาเป็น “เหยื่อ” ของแก ที่แกจะต้องหาทางขม้ำให้ได้ อย่างน้อยผู้เขียนรู้สึกอย่างนั้น คล้าย ๆ
กับว่า ถ้าแกขม้ำไม่ได้ด้วยมนตร์หรือกล ก็จะเอาให้ได้ด้วยคาถา...แกน่ากลัวมากเลย
อยู่มาวันหนึ่ง
หลังจากที่ซักไซ้ไล่เรียงจนรู้ว่าผู้เขียนเลิกใช้เตาแก้สประกอบอาหาร แต่หันมาใช้ไฟฟ้าแทน แกก็ออกปากยืมถังแก้สปิกนิกของผู้เขียนทันที
ที่ช่องเปิด...
อย่างไรก็ดี
ผู้เขียนก็ระวังตัวที่จะไม่สนทนากับคุณนายกะเปิ้บกะป้าบสองต่อสอง แม้ในที่สาธารณะ
เพราะผู้เขียนไม่ใช่คนเก่งกาจอะไร เป็นคนขี้กลัว
ร้อนเพื่อนบ้านสตรีที่นั่งฟังการสนทนาอยู่ด้วย
แกทนฟังไม่ใหว หมายถึงทนคุณนายกะเปิ้บกะป้าบไม่ไหว ร้องห้ามผู้เขียนขึ้นมาว่า
“อย่าให้ยืม!”
เวลานั้น คุณนายกะเปิ้บกะป้าบ
ทะเลากับผัวบนควน(บนเนินเขา) แล้วลงมาอาศัยอยู่กับญาติในหมู่บ้าน ซึ่งญาติในหมู่บ้านนินทาให้ผู้เขียนฟังว่า
ดูเด่ะ ลงมาแล้วจะกะเกณฑ์ให้ญาติพี่น้องข้างล่างนี้ปลูกขนำให้อยู่ โธ่-ญาติเขาสังเวชใจ ถ้าซื้อเสาเรือน อิฐ หิน
ปูน ทราย และไม้มาสักกอง แล้วมาขอแรงกัน ยังพอว่า
นี่อะไรมีแต่ออกปากตอแหลจะเอาลูกเดียว...
ต่อมาอีก เจ้าของบ้านที่ให้คุณนายอยู่อาศัย
ซึ่งเป็นน้องชาย ก็ด่าคุณนายเรื่องกะเปิ้บกะป้าบจะเอาลูกเดียว
และไม่ดูตาม้าตาเรือ
เห็นคนเป็นเหยื่อที่จะเขมือบได้เหมือน ๆ กันหมด เขาด่าว่า อย่าปากไว ดีแต่พูดไชเข้าไป
จะเอาแต่ได้ของคนอื่นเขา
คุณนายกะเปิ้บกะป้าบทนไม่ได้ หรือโดนไล่กลาย ๆ
แกก็กลับไปดีกับผัวบนควน ออกไปจากหมู่บ้าน เพราะแม้แต่ญาติตัวก็ยังไม่เล่นด้วย
บ๊ายบาย คุณนายกะเปิ้บกะป้าบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น