ทุ่งนา ที่บ้านผม
เวลาที่ผมอยู่กรุงเทพฯ เมื่อหลายปีก่อน
ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องโลกร้อน หรือสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป หรืออากาศวิปริตมาก ผมเป็นคล้าย ๆ คนอเมริกันปัจจุบัน ทั้ง ๆ
ที่อเมริกาโดนพายุถล่มอยู่เนือง ๆ พวกเขาดูเหมือนไม่ค่อยจะเชื่อว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว
ท่านผู้อ่านโปรดชมภาพทุ่งนาบ้านผม ภาพนี้ผมถ่ายเอง เมื่อพ.ศ.2540 ปัจจุบันนี้ขอบอกว่า ทุ่งนี้ทั้งทุ่ง ขอย้ำนะว่า
ทั้งทุ่ง ได้หายไปหมดแล้ว
ทุ่งนี้ไม่มีแล้วครับ...สัปดาห์หน้าจะเล่าให้ฟังว่า ได้เกิดอะไรขึ้น
ญาติพี่น้องผม เราก็อยู่กันรอบ ๆ ทุ่งนี้
หรือทุ่งเล็กทุ่งน้อยที่ต่อเนื่องไปจากทุ่งนี้
ตอนเด็ก ๆ เมื่อเรียนชั้นประถามหนึ่ง
ผมเดินเข้ามทุ่งเล็กที่ต่อเนื่องกับทุ่งนี้ไปโรงเรียน
ไปกับญาติผู้พี่ที่เป็นครูอยู่ที่โรงเรียนวัดหลังเขา
วันหนึ่ง วันที่ฟ้าฉ่ำฝน เป็นหน้าน้ำ
ต้นข้าวในนา ซึ่งเป็นนาดำ สูงไม่ถึงหัวเข่าผู้ใหญ่ ผมเดินอยู่บนคันนา ตามหลังพี่ไปโรงเรียน งูตัวหนึ่งว่ายน้ำมาในนา มันเลื้อยขึ้นคันนาอย่างว่องไว
แล้วกัดนิ้วเท้าก้อยของผม ซึ่งเดินตีนเปล่า งูกัดเป็นแผลที่นิ้วก้อย เลือดไหล ผมก็ร้องให้ และเรียกพี่ว่า
“พี่
ๆ งูขบ” (=งูกัด)
พี่หันขับไปในนา
ทางที่งูกำลังว่ายน้ำหนีไป พลางบอกว่า
“ไม่เป็นไร งูน้ำ”
แล้วก็ ก้มลงคัดเลือดที่แผลให้ผม
ที่ทุ่งนาผืนนี้ แม่ผมเคยมาทำนา ในหน้าแล้งฤดูเก็บข้าว – ทางใต้แถวบ้านผมเขาพูดว่า
เก็บข้าว เขาไม่พูดว่า เกี่ยวข้าว
เพราะว่าเราไม่ได้ใช้เคียวเกี่ยวข้าว
แต่เราใช้ “แกะ” เก็บข้าว ทีละรวง โปรดชมภาพแกะด้านล่าง
ขอบคุณ - http://www.kontaiclub.com
ในหน้าแล้ง น่าสนุกมาก
ต้นข้าวสมัยก่อนสูงท่วมหัวเด็ก
เหง้าของมัน ขุดขึ้นมาทำนกหวีดได้
แต่ต้องผู้ใหญ่ทำให้ เด็ก ๆ ทำไม่เป็น
โตขึ้นหน่อย ผมก็เก็บข้าวเป็น และดำนาเป็น
สมัยต่อมา เมื่อกลายเป็นคนพลัดที่นาคาที่อยู่
ไปอยู่กรุงเทพฯ และที่อื่น ๆ
เวลากลับมาเยี่ยมบ้านเกิด
พอผมได้เห็นทุ่งนาผืนในภาพนั้น
จิตใจก็จะฮึกเหิม ไม่ขลาดกลัวอะไร
ผมยืนอยู่ที่ชายทุ่ง แล้วบอกตัวเองว่า
“นานี้
แม่กูเคยทำ”
เพียงนึกได้เท่านั้น กำลังใจจะกลับคืนมา
ผมไม่ค่อยจะเข้าใจหรอกว่า
พวกนักการเมืองระดับชาติ เขาใช้เงินแผ่นดิน เป็นแสน ๆ ล้านหว่าน “ช่วยเหลือชาวนา” เขาทำกันอย่างไร ช่วยงัยอ่ะ?
“ส้นตีน
แหนะครับ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น