อีกวันหนึ่งของข้าพเจ้าในกรุงเทพฯ-สองปีต่อมา
--แดง ใบเล่
[ตอน 2/3]
ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดา ผู้เขียนต้องการจะอ่านสำนวนคดีคดีหนึ่ง--ซึ่งตัวเองเกี่ยวข้องด้วย
โดยที่คดีดังกล่าวพิพากษาเสร็จสิ้นเป็นคดีแดงมานานแล้ว
กลายบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์และบุคคลต่าง ๆ ในคดี
ซึ่งผู้เขียนสนใจอยากอ่านเรื่องราว คล้าย
ๆ กับได้อ่านนิยายหนึ่งเรื่อง
การเดินทางไปศาลเริ่มจากสถานีรถไฟลอยฟ้าสยามสแควร์
ไปต่อรถใต้ดินที่ปากซอยอโศก โดยที่สถานีรถใต้ดินที่ซอยอโศกชื่อ สถานีสุขุมวิท
จากชื่อสถานที่ก็นึกเดาว่า
ถ้าจะไปศาลที่ถนนรัชดาฯก็คงต้องลงรถไฟใต้ดินที่สถานีรัชดาฯ แต่ปรากฏว่าเมื่อขึ้นบันไดเลื่อนมาถึงระดับผิวถนน
จึงรู้ว่าศาลยังอยู่ไกลมาก ผู้เขียนต้องเรียกมอไซด์ให้ไปส่งที่ศาล...ระยะทางจากสถานีรัชดาฯถึงศาลไม่ใช่ใกล้
ๆ
ที่ศาล หลังจากได้นั่งอ่านสำนวนคดีอยู่นานสองสามชั่วโมง
รับประทานอาหารเที่ยงอยู่กับโต๊ะที่เขาจัดไว้ให้อ่านเอกสารคดี ได้นั่งจดบันทึกและขอถ่ายสำเนาเอกสารบางส่วนไว้อ่านต่อที่บ้านขากลับจากศาลได้ทราบว่า
เขามีรถกระป๋องบริการฟรี จากศาลไปยังสถานีรถใต้ดินใกล้ที่สุด คือ สถานีลาดพร้าว
-ไม่ใช่สถานีรัชดาฯ รถกระป๋องคันนั้นเขาตั้งชื่อว่า “ตุลพาห” คงจะแปลว่า ยานพาหนะที่จะนำไปหาตาชั่ง
แหงเลย
การติดต่อธุระที่ศาลแพ่ง ได้รับความสะดวก
รวดเร็ว ว่องไว และมีไมตรี
ศาลได้ปรับปรุงระบบประชาสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์กับประชาชนที่มาศาล ได้อย่างดีอย่างนึกไม่ถึง คิดว่าถ้าไปขึ้นศาลฝรั่งเศส-ซึ่งใช้ระบบศาลระบบเดียวกับไทย
ก็ไม่น่าจะได้รับการต้อนรับขับสู้(หมายถึง บริการประชาชน)ดีไปกว่านี้ เพราะว่าระบบราชการของฝรั่งเศส หรือ French
bureaucracy นั้น เป็นที่ขึ้นชื่อลือชา น่าขนลุกขนพอง รู้กันทั่วไป
ครูสอนกฎหมายท่านหนึ่งสอนว่า Justice
delayed is justice denied. หรือความยุติธรรมที่มาช้า
เท่ากับปฏิเสธที่จะให้ความยุติธรรม
แต่ครูสอนกฎหมายอีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นอดีตผู้พิพากษา
เมื่อได้ยินคนวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินระยะหลัง ๆ ของศาลบางคดี-ในเชิงวิชาการ-ว่าสำนวนห้วนสั้นเกินไป
ไม่ได้อ้างอิงนิติเหตุนิติผลเท่าที่ควร
ท่านก็แสดงปฎิกิริยาคือมี “reaction” ต่อคำวิจารณ์ว่า “อยากได้เร็ว ๆ ก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ”
ผู้เขียนนึกเห็นใจที่ท่านแสดงปฏิกิริยาอย่างนั้น เพราะได้ลองใช้เหตุผลด้วยการเทียบเคียง(analogy)โดยเทียบคำพิพากษาคดีที่ไม่ซับซ้อนเกินไปบางคดี กับงานเขียนบ้า ๆ บอ ๆ ของตัวเอง
ซึ่งบางชิ้นงานต้องใช้เวลาเขียนนานมาก เช่น งานวิจารณ์บทความเรื่อง “ความเป็นไทย
สัญลักษณ์แห่งความดักดาน” โดย คุณมุกหอม
วงศ์เทศ นั้น ผู้เขียนใช้เวลานั่งเขียนคำวิจารณ์อยู่นานนับเดือน
(สนใจจะอ่านคำวิจารณ์ โปรดคลิกตามลิงก์ครับ http://pricha123.blogspot.com/2012/11/blog-post_30.html) ส่วนวิจารณ์บทกวี ของ คุณสมยศ
พฤกษาเกษมสุข ซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้
เพื่อให้ฝรั่งอ่าน แต่ถ้าคนไทยจะอ่านบ้างก็ไม่จำกัดสิทธิ ก็ใช้เวลาเขียนเป็นเดือนเหมือนกัน (สนใจอ่าน
โปรดคลิกตามลิงก์ http://www.pricha123.blogspot.com/2013/05/thai-poetry-critique-of-poem-by.html ) ประมาณว่า สำหรับผู้เขียนแล้ว งานพวกนี้เขียนยากและจะเขียนได้ปีละสองสามบทเท่านั้น เพราะฉะนั้น เมื่อมองจากประสบการณ์ของตัวเอง จึงเกิดความเห็นใจผู้เขียนคำพิพากษา
ด้วยประการฉะนี้
มากรุงเทพฯเที่ยวนี้
ได้พบเห็นขอทานและคนจรจัดประปราย แต่ไม่มากเหมือนเมื่อสองปีก่อน ที่จำได้ชัดเจนมีอยู่สองราย
เป็นคนจรจัดรายหนึ่ง-เพศหญิง กับขอทานคนหนึ่ง-ชายพิการ
ขอทานผู้เป็นชายพิการนั้น
นุ่งโสร่งและสวมหมวกกลม ๆ จึงเดาว่าเป็นคนมุสลิม
เขานั่งขอทานอยู่ไม่ไกลจากทางขึ้น-ลงสถานีรถไฟลอยฟ้า สถานีนานา บนถนนสุขุมวิท ถ้าท่านผู้อ่านท่านใดนึกอยากพิสูจน์
ก็คงจะยังพบเขาอยู่แถวนั้น
บริเวณนั้นจะมีนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางหนาตา ผู้เขียนเชื่อว่าคนใจบุญมุสลิม และพุทธและอื่น
ๆ ที่เดินผ่านไปมา คงทำทานกับเขาพอสมควร
ในซอยย่อยจากซอยนานาเหนือ เป็นที่ชุมนุมร้านอาหารสไตล์ตะวันออกกลาง
เช่น ร้านอัล-ฮุสเซน ซึ่งผู้เขียนเคยแวะรับประทานอาหารเมื่อมากรุงเทพฯครั้งก่อน อีกร้านหนึ่งชื่อร้านเนฟแฟตีติ ใช้ชื่อราชินีอีจิปต์โบราณสมัยฟาโรห์
ก่อนที่อีจิปต์จะหันมานับถือศาสนาอิสลาม มาตั้งชื่อร้าน และยังมีอีกหลายร้าน ร้านอาหารสไตล์ตะวันออกกลางเหล่านั้น
ในครัวอาจมีคนพุทธทำหน้าที่แม่ครัวพ่อครัวอยู่บ้างก็ได้—ไม่แน่ดอก แต่ว่าเข้าใจว่า ส่วนมากจะเป็นคนจากปากีสถานหรือตะวันออกกลางหรืออาจจะอินเดีย
ยกเว้นซาอุ-ซึ่งเขาไม่ให้คนของเขามาเที่ยวเมืองไทย
อาหารมุสลิมแถวนั้น ก็ไม่ได้เป็นตะวันออกกลางร้อยเปอร์เซ็นต์
เช่น การใช้ผงกะหรี่ประกอบอาหาร ครั้งหนึ่งแม่ครัวถามผู้เขียนว่า
จะให้ใช้ผงกะหรี่ทำแบบตะวันออกกลางหรือแบบอินเดีย
ซึ่งผู้เขียนก็ตอบว่า แบบอินเดีย เพราะว่าถ้าเป็นแบบตะวันออกกลางเขาจะไม่คลุกผงกะหรี่ให้ทั่วข้าว จะมีข้าวขาวให้เห็นเป็นหย่อม ๆ ผู้เขียนเคยไปกินข้าวหมกเนื้ออูฐที่ ประเทศยูไนเต็ด
อาหรับ เอมมิเรต แต่ไม่ใช่ที่ดูไบ
เป็นอีกแคว้นหนึ่งซึ่งต้องนั่งรถข้ามทะเลทรายไป
โห-บ้าเปล่า ประมาณห้าสิบองศาเซลเซียสเห็นจะได้ หยั่งกะอยู่ในนรกหมกไหม้ เขาก็ไม่ได้คลุกผงกะหรี่ให้ข้าวเหลืองทั่ว จะเหลืองเป็นหย่อม
ๆ แต่กระนั้น ข้าวหมกเนื้ออูฐของเขาก็อร่อยมาก
มาเที่ยวนี้ มื้อแรกไปกินที่ร้านอัล-ฮุสเซน เลือกกินอาหารออกอินเดีย
คือ สั่งโรตีแผ่นบาง ๆ ที่อินเดียเขาเรียก ชาปัตติ กินกับแกงถั่วที่เรียกว่า ดาล ปรากฏว่าก็เป็นดาลที่ไม่ใช่รสชาติอินเดีย
คือว่าเครื่องเทศไม่เข้ม แต่ก็พอกินได้
เพื่อนชาวอังกฤษผู้หนึ่งซึ่งสอนภาษาอยู่ที่กรุงเทพฯเล่าให้ฟังว่า อาหารแขก(อินเดีย)ที่กรุงเทพฯรสชาติเพี้ยน
ไม่ออกรสแท้
ถ้าให้แท้เหมือนที่อินเดียเขาบอกว่า ให้ไปกินที่ปีนัง—เท็จจริงอย่างไรไม่รับประกัน
ฟังเขามาแบ่งปันเล่าต่อ
สำหรับผู้เขียน ถ้าจะให้ถ่อสังขารจากที่บ้านไปปีนัง
ขอมาเที่ยวกรุงเทพฯจะดีกว่า เพราะว่าที่กรุงเทพฯมี
อาหารมุสลิมที่อร่อยที่สุดในโลก เช่นที่
ร้านมะตะบะ บางลำพู เป็นต้น
ที่ตาเรียห์สแควร์ในกรุงไคโรก็ดี ที่ผู้เขียนเคยไปกินมา หรือที่ไหน ๆ เช่น
อัลละหะบัดในอินเดียก็ดี ที่พาราณสี ที่กัลกัตตา ที่จันดีปุระ-ในรัฐโอริสสา
หรือบนคาบสมุทร์อาระเบีย
ก็สู้ร้านมะตะบะที่บางลำพูไม่ได้ดอก
คือเป็นอาหารประเภทที่จะขออนุญาตท่านผู้อ่าน ตั้งชื่อเรียกตามอำเภอใจว่า
อาหารไทยมุสลิม เพราะถ้าจะเรียกว่าอาหาร
มุสลิม เฉย ๆ ก็ไม่ถูก ครั้นจะเรียกว่าเป็นอาหาร ไทย เฉย ๆ
ก็ไม่ใช่ เรื่องนี้เป็นเรื่องการครัว
ไม่ใช่เรื่องเผ่าพงศ์(ethnicity)หรือชาติพันธุ์(race) ผู้เขียนเห็นว่าเราน่าจะต้องเรียกการครัวหรือ
“กุยซีน-cuisine” ชนิดพิเศษประเภทนี้ว่า “อาหารไทยมุสลิม” จึงจะถูกต้องครบเครื่อง และบรรพบุรุษของต้นตำหรับอาหารประเภทนี้นั้นอยู่เมืองไทยมานานมาก
นานกว่าบรรพบุรุษบางคนของผู้เขียนเสียอีก
อาหารสไตล์นี้โคดถูกปากเลย นี่พูดตามปากของผู้เขียน ทั้งนี้ โปรดฟังเหตุผลให้ดี คือคิดว่าพ่อครัวแม่ครัวที่เขาปรุง
อาหารไทยมุสลิม ได้นั้น เป็นเพราะเขารู้เรื่องเครื่องเทศทั้งสองทาง
กล่าวคือ ทางอินเดียกับตะวันออกกลางรวมถึงพวกฝรั่งด้วย ซึ่งเป็นกลุ่ม เครื่องเทศแห้ง ขอเรียกง่าย ๆ แล้วกันว่า dry
spices เช่น ยี่หร่า กระวาน กานพลู เป็นต้น คำว่าเครื่องเทศของอินเดียตะวันออกกลางและฝรั่ง
จะหมายถึงเครื่องเทศที่ถูกทำให้แห้ง เพื่อเน้นกลิ่นของมันและทำให้เก็บรักษาได้นาน และขณะเดียวกันครัวไทยมุสลิมก็จะรู้จักทางของ เครื่องเทศสด
หรือขอเรียกง่าย ๆ ว่า green
spices ด้วย เช่น พริกชี้ฟ้า โหระพา ใบมะกรูด เป็นต้น ซึ่งอินเดียตะวันออกกลางและฝรั่งจะไม่คุ้นเคย
และมักจะใช้ไม่เป็น
แล้วเมื่อค็อนเส็ปเรื่องเครื่องเทศสองสกุลนี้ผสมกันได้
เช่น ในครัวร้านมะตะบะ บางลำพู เป็นต้น จะไม่มีอาหารมนุษย์ไหนบนพื้นพิภพนี้สู้ได้ดอก ผู้เขียนเห็นว่าเป็นเอกของครัวโลกแล้วล่ะ
แต่เอาเถอะ ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยไปกิน street
food ยามย่ำค่ำใกล้ ๆ กับโรงแรมโนโวเทล กรุงปักกิ่ง
หมายถึงโนโวเทลแห่งแรกที่นั่น ได้เดินดูลักษณะอาหารหลายเจ้า
ดูคล้ายอาหารมุสลิมที่เรารู้จัก โดยเฉพาะพวกปิ้ง ๆ ย่าง ๆ ต่อมามีคนเขาพาไปเลี้ยงอาหารภัตตาคารที่ปักกิ่ง
ก็เกิดความรู้สึกว่า “อาหารชาววัง” ที่ปักกิ่ง ได้รับอิทธิพลจากอาหารมุสลิม คือว่าเดาว่ามากับเส้นทางสายไหม
จะผิดถูกอย่างไรไม่รับประกัน
แต่เรื่อง อาหารไทยมุสลิม นี้ไม่ใช่โม้เพ้อเจ้อ
ท่านผู้อ่าน
ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนมุสลิม ก็สามารถพิสูจน์ได้ง่าย ๆ ด้วยตัวท่านเอง พิสูจน์เอง
รู้เอง ไม่ต้องมีใครมาจูงจมูก
วิธีพิสูจน์ง่าย ๆ ก็คือ
ให้แกงเขียวหวานอะไรก็ได้ หม้อเล็ก ๆ ขึ้นมาหม้อหนึ่ง
ใช้เครื่องแกงและเครื่องปรุงตามปกติของท่าน ไม่ต้องทำอะไรพิเศษ หลังจากนั้น ให้ใช้ เครื่องเทศแห้ง
ที่คลาสสิค คือ ยี่หร่า กระวาน กานพลู แค่นี้ก็พอสำหรับขั้นทดลอง ตำหรือบดละเอียด
ใส่ลงไปในหม้อแกงเขียวหวานหม้อนั้น ตั้งไฟให้ร้อนไม่ต้องเดือด แล้วยกลง
ปรากฏการณ์มหัศจรรย์จะเกิดขึ้นกับแกงเขียวหวานธรรมดาหม้อนั้นของท่าน
ที่แกงขึ้นจากเครื่องเทศสด(เครื่องแกงเขียวหวาน) มันจะเข้าแขกและหอม กลายเป็น อาหารไทยมุสลิม
ชนิดที่ผู้เขียนกำลังจินตนาการและย้อนระลึก มาแบ่งปันกับท่านผู้อ่าน โดยที่ท่านไม่ต้องเปลี่ยนศาสนาไปนับถือศาสนาอิสลาม
ในทางกลับกัน
เมื่อท่านทำข้าวหมกไก่ขึ้นมาหม้อหนึ่ง หรือกระทะเล็ก ๆ กระทะหนึ่ง
โดยใช้ผงกะหรี่ที่ท่านใช้อยู่ตามปกติ เช่น ผงกะหรี่มัทราส เป็นต้น (แต่ที่อินเดียเขาไม่รู้จักผงกะหรี่ หรือ curry
powder เพราะเขาเรียกส่วนผสมของเครื่องเทศว่าผง มัสซาลา เรียกเต็มยศว่า กาเร็ม มัสซาลา) หลังจากนั้นท่านก็ลองหั่นหรือบด เครื่องเทศสด
เลือกมาแบบง่าย ๆ คือ พริกชี้ฟ้า โหระพา ใบมะกรูด แค่นี้พอสำหรับขั้นทดลอง หั่นเสร็จก็โรยลงไป
จะคลุกสักเล็กน้อยหรือแค่โรยหน้าก็ได้
ปาฎิหาริ์เล็ก ๆ จะเกิดแก่ข้าวหมกไก่หม้อนั้น คือจะเกิดกลิ่นและรส
ที่จะสดชื่นขึ้น ไม่แห้งแล้ง ไม่เลี่ยน และใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น อาหารมุสลิมหม้อหรือกระทะดังกล่าว จะกลายเป็น อาหารไทยมุสลิม
ตามลักษณะที่เรากำลังพูดถึง และเรานึกอยากจดทะเบียนสิทธิ์ไว้กับองค์การการค้าโลก คิดไกลขนาดนั้น—นึกดู
ท่านผู้อ่านลองไปทำดู แล้วจะรู้เอง
แต่ถ้าเหตุผลที่ยกมานั้น ยังฟังไม่ขึ้น ท่านผู้อ่านต้องการจะพิสูจน์เพิ่มเติม ก็จะขออนุญาตตั้งคำถามเล็ก ๆ กับท่านผู้เริ่มสนใจ
แต่ยังคลางแคลงใจ ขอถามว่า: ใคร ๆ ก็รู้นะว่า เม็ดยี่หร่า
เป็นเครื่องเทศแห้งที่รู้จักกันตั้งแต่ นครศรีธรรมราช
เรื่อยไปจนถึงมัทราส(เชนไน) เรื่อยไปถึงบอมเบย์(มุมไบ) เรื่อยลงไปถึงอานันตะนาริโว
เมืองหลวงของประเทศมาดากัสกา จนเรื่อยไปถึงการาจี และเรื่อยต่อไปในตะวันออกกลาง
เรื่อยไปถึงไคโร-อีจิปต์ ลิเบีย ตูนิเซีย อัลจีเรีย กระทั่งว่าเรื่อยไปถึงเมืองราบัตและคาซาบลังกา
ริมมหาสมุทร์แอตแลนติคในประเทศมอรอคโค
แต่จะขอถามว่า ท่านจะหาอาหารที่ประกอบจากเครื่องเทศชนิดสดชนิดนี้
คือการใช้ ใบยี่หร่า
โดยนำใบยี่หร่าสด มาแกงกับปลาดุกหรือปลาทราย ได้ที่ไหน? แกงปลาทรายหรือปลาดุกกับใบยี่หร่า
มีให้เรากินเฉพาะในเมืองไทย-เท่านั้น จริงมั้ย?
ภูมิภาคอื่นที่เอ่ยชื่อมาตั้งครึ่งค่อนโลก เขาทำไม่เป็นหรอก-ใช่เปล่า? เขารู้จักแต่ยี่หร่าในฐานะเครื่องเทศแห้งเท่านั้น
ที่ใต้ถุนศาลแพ่ง ถนนรัชดา
มีร้านอาหารมุสลิมอยู่เจ้าหนึ่ง ที่นั่นผู้เขียนได้กินแกงเขียวหวานปลาดุกของเขา ซึ่งทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า
เขาก็น่าจะแกงปลาดุกหรือปลาทรายกับใบยี่หร่า ได้อร่อย
วันต่อมา เมื่อเสร็จธุระสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ผู้เขียนก็กลับไปที่ซอยนานาอีกครั้ง
เพื่อฉลองด้วยการรับประทานอาหารภัตตาคารที่ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า restaurant ที่มาจากคำกิริยาว่า restorer แปลว่า ซ่อมแซม
ฟื้นฟู
เพราะการได้กินอาหารในร้านที่เขาดูแลเราอย่างดีทั้งเรื่องอาหารและการบริการ
เท่ากับว่าเราได้ฟื้นฟูตนเองจากความเหนื่อยยาก
ซึ่งอาหารเพื่อการฉลองโอกาสดีของเราท่านทั้งหลาย
แตกต่างกันไปแล้วแต่จะนิยม
บางท่านนิยมฉลองด้วยการไปรับประทานอาหารภัตตาคารจีน
บางท่านไปกินอาหารฝรั่งเศส สำหรับผู้เขียนเมื่อมากรุงเทพฯเที่ยวนี้
นึกอยากฉลองโอกาสพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตนเองด้วยการกินอาหารแขก – แต่แกงถั่วไม่เอาแล้ว
มันพื้น ๆ และสามัญสุด ๆ ก็เห็นเวลาคนเขาทำบุญที่อินเดีย เขาก็แกงถั่วหม้อเบ้อเร่อ
แล้วตักแจก
ไม่รู้ว่านานกี่ปีแล้วที่ไม่ได้กิน คือ กูระหม่าแพะ Wow!
ผู้เขียนไปที่ร้านอาหาร ซึ่งใช้ชื่อฝรั่งว่าร้าน
Gulf
Beach มีคำบรรยายใต้ชื่อว่า
ขายอาหารอาระบิค โอมานี และอินเดีย สรุปว่ารวมแขกอยู่ที่นั่นหลายแขก
ยกเว้นแขกชวามลายู พวกซาลามัต ดาตัง
ซึ่งเป็นญาติผู้เขียนเท่านั้นที่ไม่ถูกรวมไว้ด้วย—ซึ่งก็แปลว่า ถ้าจะกิน นาซี
โกเร็ง เป็นอันว่าชวด แต่ว่าจำพวก
บิระยานี คือข้าวผัดแขกแบบชมพูทวีป ทั้งที่พูดอูระดู(มุสลิม) และพูดฮินดี(ฮินดู)ล่ะก้อ...จะมีให้กินที่ร้านนั้น
ที่นั่น เมื่อมากรุงเทพฯครั้งก่อน ๆ ก็เคยไปมาครั้งหนึ่งแล้ว
แต่ครั้งนี้จะกิน “มัตตัน
โคระมา”(ภาษาไทยว่า กูระหม่าแพะ) ฉลองซะหน่อย
เวลานั้น ช่วงเช้าประมาณ 10.00
น. ผู้เขียนเป็นลูกค้าคนเดียวในร้าน พนักงานเสิร์ฟเชิญให้นั่งกับโต๊ะใหญ่--แต่ว่ามีผู้เขียนนั่งกินคนเดียว
โดยมีท่านผู้อ่านร่วมรับประทานด้วย หมายความถึงในขณะที่ท่านกำลังอ่านอยู่ ณ
บัดนี้.....กล่าวคือท่านผู้อ่านเป็น virtual guests อีกนัยหนึ่ง ท่านคือแขกเสมือนจริง ณ บัดโน้น
ไม่รู้ว่าเขียนหนังสือสร้างสถานการณ์สับสนไปเปล่า
คนเสิร์ฟนำเมนูมาให้ดู
ซึ่งผู้เขียนแค่พลิกผ่านไปเร็ว ๆ พอเป็นพิธี แล้วแจ้งว่า ขอกูระหม่าแพะกับโรตี เขาถามว่า จะเอาโรตีกี่แผ่น ผู้เขียนขอความชัดเจนว่า
แผ่นโตแค่ไหน คนเสิร์ฟทำมือเป็นวงกลมใหญ่แสดงขนาดโรตีให้ดู เห็นแล้วผู้เขียนตอบว่า แผ่นเดียวพอ
ถ้าท่านผู้อ่านได้ไปร่วมรับประทานด้วยจริง ๆ
เราก็คงสั่งโรตีคนละแผ่นเท่านั้น
ก็แล้วแต่ว่าท่านจะมากันกี่คน.....
จากการเพียรทำธุระต่าง ๆ แต่ละเรื่องให้แล้วเสร็จ ซึ่งบางเรื่องมีเป็นสิบขั้นตอน
ต้องติดต่อหน่วยงานและบุคคลมากหน้าหลายตา กินเวลานับสิบ
ๆ วันกว่าจะบรรลุผล ชวนให้น่าเหน็ดเหนื่อยและเหนื่อยหน่ายมิใช่น้อย—ทั้ง ๆ
ที่ทุกคนและทุกหน่วยงาน ให้ความอนุเคราะห์ด้วยดี
ที่โต๊ะอาหารร้านกัลฟ์บีช ผู้เขียนกวาดสายตาพิจารณาโต๊ะอาหารกลมใหญ่
เป็นโต๊ะกระจกใส แผ่นหนาสะอาดไม่มีที่ติ
จัดวางภาชนะอย่างอาหารฝรั่ง ใช้จานชามกระเบื้องสีขาวไร้ราคิน
พร้อมกับแก้วน้ำใสปิ้ง แต่ก็ไม่ได้เคาะแก้วฟังเสียง
ว่าเสียงจะดังกังวานอย่างไร
พอได้จิบน้ำดื่มแล้วชั่วครู่ คนเสิร์ฟก็นำเครื่องเคียงซึ่งเป็นของดอง ถ้าเป็นที่อินเดียเขาเรียกง่าย ๆ ว่า สลัด--ซึ่งมีต้นตอมาจากภาษาฝรั่งเศส
แต่เครื่องเคียงของอาหารแขกทุก ๆ
ยี่ห้อแขกในเมืองไทยเขาเรียก “อาจาด”
วันนั้นอาจาดถูกจัดบรรจงเรียงมาบนจานเล็ก
ๆ ที่เป็นจานสลัดแบบฝรั่ง วางเยื้องกับจานรับประทานอาหาร อาจาดประกอบด้วยผักดองที่สะเด็ดน้ำมาแล้ว
มีแตงดอง แคร็อทดอง หอมใหญ่สดฝาน ขิงดอง ต้นหอมสด และที่สำคัญคือ มีพริกสดนอนแนบมาด้วย
เราต้องเตรียมอายนะทั้งห้า-ถ้าเชื่อแบบฝรั่ง(ประกอบด้วย
ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย) หรืออายตนะทั้งหก-ถ้าเชื่อแบบไทย(คือตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย +
ใจ)ให้พร้อมเสียก่อนเริ่มรับประทาน
การกินอาหารในโอกาสแห่งการฉลองวันนี้(นั้น)ของผู้เขียน จะขอซึมซับรสชาติอาหารด้วยปรัชญา
ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม อีกนัยหนึ่งกินแบบสโลว์ฟูด ด้วยคติชีวิตที่ยึดถือ
สโลว์ไลฟ์ – slow life ซึ่งผู้เขียนได้สมาทานมาในระยะหลัง
ๆ กล่าวคือ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม
จะเลือกวิธีทำที่ช้าที่สุดเสมอ
เริ่มต้นจากการมองเห็น คือ กินด้วยตา ชำเลืองมองผักดองบนจานเล็กที่เขานำมาวางไว้ให้ ดูที่ริมจานด้านซ้ายมือ เห็นขิงดองสีชมพูวางอยู่หนึ่งชิ้น ส่วนที่เรียงถัดมาคือแตงดองผ่าซีก
วางเป็นระเบียบหกชิ้น ตบท้ายแถวด้วยแคร็อทดองสีแสดชิ้นหนึ่ง บนแถวผักดองทั้งหลายมีหอมหัวใหญ่ฝานวางไว้สองแว่น
ที่พาดอยู่บนชิ้นหอมหัวใหญ่คือต้นหอมสดสองต้น
ปอกเปลือกนอกทิ้งเหลือแต่เนื้อในขาวสดแล้วเรียวขึ้นเป็นสีเขียวสด เขาทำให้จานอาจาดมีสีสันในรสชาติด้วยพริกสดสีเขียวสองเม็ด
วางขวางโลกมาบนจาน แนบอยู่กับแตงดอง
ผู้เขียนใช้มือหยิบแตงดองผ่าซีกขึ้นมาหนึ่งชิ้น การกินอาหารแขก-ถ้าไม่ใช้มือกิน
จะไม่อร่อย แต่ว่ายัง...ยังครับ
ยังไม่กัดแตงดองกินทันที
ฝรั่งซึ่งอาจจะรู้จักแขกดีกว่าเราด้วยซ้ำ เพราะเขาปกครองแขกอินเดียอยู่สี่ร้อยปี
แขกอาหรับทั้งที่ตะวันออกกลางและอัฟริกาเหนือ เขาก็ควบคุมดูแลนานนับร้อยปี ส่วนแขกชวามลายูก็เหมือนกัน เรียกว่าพวกแขกทั้งโลกเขากำกับไว้หมด ฝรั่งเรียกการกินอาหารด้วยมือว่า กินด้วยนิ้ว –
eating
with fingers เขาไม่ได้บอกว่า
by hand และถึงแม้เราจะถนัดซ้าย--แต่ถ้าเราจะคบกับแขก
เราต้องใช้มือขวากินข้าวเสมอ ห้ามใช้มือซ้ายเด็ดขาด ไม่ต้องถึงกับเป็นแขกมากมาย แค่แถวบ้านผู้เขียน
ก็ถือเรื่องนี้กันไม่แพ้แขก แม้จะส่งของให้กัน ก็ต้องใช้มือขวาเสมอ
ผู้เขียนกินมือตามภาษาไทยเรียกก็จริงอยู่ แต่ว่าจริง
ๆ แล้วผู้เขียนเริ่มรับประทานอาจาดโดยใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้มือขวา
คีบแตงดองขึ้นมารออยู่ใกล้ปากหนึ่งชิ้น โดยที่วางระยะห่างให้จมูกได้กลิ่นเปรี้ยวอ่อน
ๆ โชยมาจากแตงดองชิ้นนั้น
บังเอิญฆานประสาทยังดีอยู่ จึงได้กลิ่นเปรี้ยวบาง ๆ ของแตงดองได้ไม่ยาก ผู้เขียนรู้สึกว่ารสเปรี้ยวเป็นรสที่ส่งกลิ่นได้
รสเค็มไม่มีกลิ่น
พอได้กัดแตงดองเข้าปากเท่านั้นแหละ
ได้ยินเสียงเลย เสียงของความกรอบ
ระหว่างที่เคี้ยวยังไม่แหลกจะได้ยินเสียงดังกรอบแกรบแว่วอยู่ในอุ้งปาก เป็นอันว่าเรากำลังกินด้วยประสาทหู พอกินแตงดองด้วยตา จมูก ลิ้นและหู ไปได้ชิ้นหนึ่ง
ก็หันมากินของสด คือหอมหัวใหญ่ บิออกจากแว่นมาวงหนึ่ง กายสัมผัสก็คือนิ้วมือที่จับแว่นหอมใหญ่บิออก
ส่วนจิตใจก็เริ่มทำงานประมวลผลการรับประทานอาจาด
และเริ่มนึกถึงอนาคตอันใกล้ว่า ถ้าได้มี กูระหม่าแพะ มาประกอบด้วย จะอร่อยแค่ไหน
ครู่หนึ่งต่อมา คนเสิร์ฟก็นำกูระหม่าแพะถ้วยหนึ่งมาให้ เขาตักแบ่งจากถ้วยใส่จานอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าผู้เขียน
โดยตักให้เราหนึ่งช้อน คือ เขาเสิร์ฟแบบฝรั่งกลาย ๆ
เรารู้ว่าอาหารจานนี้เป็นอาหารพิเศษของเรา นานปีเราจึงจะได้กินสักครั้งหนึ่ง เราจะไม่กระโจนลงไปจ้วงหรอก นี่ไม่ใช่แกงเทโพหัวปลากุเราเค็มที่เราได้กินบ่อย
ๆ เราจะนั่งทำสมาธิจิ๋ว – mini
meditation – ยุบหนอพองหนอสามคำรบ
เพื่อให้ร่างกายเรานิ่ง ให้อายตนะทั้งหกอยู่ในสภาพพร้อมที่จะรับรู้และเพลิดเพลินกับรสชาติอาหาร เมื่อพร้อมแล้วจึงใช้อายตนะจักษุคือตา สแกนกูระหม่าแพะในจาน
พลางหายใจลึกอีกสามครั้ง
กูระหม่านี่ ผู้ใหญ่ท่านบอกว่า
เขาแกงเอามัน-ไม่ได้แกงเอาเค็ม
สิ่งที่เราสแกนเห็นหลังจากพิจารณาชิ้นเนื้อติดกระดูกบนจานแล้ว ก็คือได้เห็นเนื้อหาหรือ texture
ของอาหาร แลเห็นความมันที่ไม่ถึงกับมันเยิ้ม
แต่ก็เห็นว่ามัน จึงพูดกับตัวเองว่า
กูอ้วนแน่ ๆ และนึกต่อไปว่าจะต้องใช้เวลากี่วันหนอ จึงจะลด รีด ไขมันที่จะกินเข้าไป
ณ บัดนี้ ออกได้หมด ระหว่างนั้น
ละสายตาจากจานอาหาร มองไปหน้าร้าน เห็นแขกโคดอ้วนคนหนึ่งในชุดกรอมร่างสีขาว
เดินผ่านหน้าร้านไป ส่วนที่เด่นสุดคือบริเวณหน้าท้อง
ซึ่งโคดใหญ่โตมหึมา อภิมหาอมตะนิรันดร์กาล เป็นอึ่งอ่างยักษ์ ที่อินเดียเขาเรียก เดลลี
เบลลี่ – Delhi belly หรือพุงของชาวเดลลี
แค่เห็นหน้าท้องของแกแล้ว
ก็รู้สึกว่าพุงเรายื่นออกมาโดยอัตโนมัติ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้กิน
เอาเถอะน่า นึกปลอบใจตัวเอง นานทีปีหน
หันกลับมาสแกนกูระหม่าแพะใหม่อีกครั้ง
พลางเอื้อมมือไปฉีกโรตีที่เขาวางมาบนพาน
จิ้มลงไปในจานกูระหม่าแล้วกวาดน้ำแกงข้น ๆ ขึ้นมาใส่ปาก ความมันกับความเปื่อยยุ่ยของเนื้อ ผสมกับเนื้อแป้งโรตีที่ย่างมาสด
ๆ ร้อน ๆ ทำให้เรารู้ว่าสวรรค์ที่ว่าไว้ในพระคัมภีร์นั้น มีจริง และ...the rest is history – ส่วนที่เหลือก็เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว สำนวนตลาดยอดนิยมสำนวนหนึ่งในวงการการเล่าเรื่องภาษาอังกฤษ
ที่พูดกันออกมาเพื่อจะได้ไม่ต้องพูดหรือเขียน อะไรต่อไปอีก
ระหว่างที่กำลังรับประทานอาหาร ผู้เขียนเห็นสตรีท่าทางภูมิฐานนั่งอยู่ที่โต๊ะเก็บเงิน มีสตรีอายุอ่อนกว่าอีกสองคนรุมล้อมเธอ คนทั้งสามกำลังมุงดูโทรทัศน์แขกผ่านดาวเทียม
และพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับเรื่องราวในโทรทัศน์ สตรีสาวคนหนึ่งในสองคนนั้นอุ้มเด็กอายุประมาณสองขวบ
พอ ๆ กับหลานผู้เขียนที่ปักษ์ใต้
ซึ่งในเวลานั้นผู้เขียนก็ยังไม่หายสงสัยว่า แขกร้านนี้เป็นแขกอะไรแน่ แม้ว่าชื่อร้านจะออกอาหรับ ผู้เขียนก็ยังไม่กล้าปักใจว่าจะใช่ เพราะผิวพรรณคล้ำกว่าคนอาหรับโดยทั่วไป
สักครู่หนึ่งต่อมา
เด็กเริ่มดิ้นอยู่ในอ้อมแขนคนอุ้ม
แล้วก็ร้องว่า “ปานี ปานี” ซึ่งในภาษาฮินดีและภาษาอูระดูด้วย แปลว่า
“น้ำ” เด็กร้องจะกินน้ำ คนที่กำลังอุ้มเด็กร้องบอกคนด้านนอกที่ยืนอยู่ใกล้ตู้เย็นขนาดใหญ่ว่า
“ปานี ปานี” คน ๆ
นั้นเปิดตู้เย็นหยิบน้ำดื่มออกมาขวดหนึ่ง รีบนำมามอบให้พลางบอกว่า “ปานี
ปานี”
ด้วยเหตุนี้
ทำให้ผู้เขียนนึกเดาอย่างพอมีเหตุผลว่าพวกนี้ไม่ใช่อาหรับ แต่น่าจะมาจากปากีสถานที่พูดอูระดู
ส่วนชื่อร้านที่ออกอาหรับกับคำบรรยายว่าขายอาหารอาระบิค น่าจะเป็นการโฆษณาหาลูกค้ามากกว่า
และที่บอกว่าขายอาหารอินเดียก็น่าจะเป็นการเรียกลูกค้าเช่นเดียวกัน บุคลากรทั้งหลายน่าจะมาจากปากีสถาน อันนี้เป็นการเดาสุ่มเล่น
ๆ ของผู้เขียน โดยอาศัยข้อมูลจากเด็กสองขวบมาช่วยไขปริศนา ความเป็นจริงอาจเป็นไปได้มากมายหลายทาง ท้ายที่สุด เพื่อเป็นข้อมูลรายละเอียดสำหรับท่านผู้อ่าน
ก็จะเรียนว่า อาหารมื้อนั้นเช็คบิลล์จำนวนสองร้อยเจ็ดสิบบาท
ผู้เขียนทิปคนเสิร์ฟไปสามสิบบาท รวมเป็นสามร้อยบาทถ้วน
กูระหม่าแพะของเขาอร่อยดีครับ
แต่ก็เป็นคนรสชาติกันกับกูระหม่าของร้านมะตะบะที่บางลำพู
ซึ่งมีกลิ่นหอมสดชื่น ใกล้ชิดธรรมชาติ ในสไตล์ ไทยมุสลิม ที่ไม่ซ้ำแบบใครในโลก
ขอย้อนกลับไปตอนต้น ตอนหัวรุ่ง
เมื่อออกจากบ้านพักมาแจ้ง(สว่าง)ที่ สน.ตลิ่งชัน แล้วนั่งรถเมล์เบอร์ 89 สวนผัก-เทคนิค แล่นมาบนถนนราชพฤกษ์ช่วงฟ้าสางแล้ว ผู้เขียนนั่งตอนหน้าสุด
ครั้นเหลือบตาขึ้นดูเหนือศีรษะ เยื้องกับที่นั่งคนขับ เหนือกระจกหน้ารถมีป้ายเล็ก
ๆ เขียนว่า “คำสั่งเมีย” ข้อความเป็นดังนี้
ก่อนออกจากบ้าน
ห้ามพกเงินเกินยี่สิบบาท
ไม่ห้ามกินเหล้ากับเพื่อน
แต่ห้ามออกตังค์
ตอนเย็นห้ามกลับบ้านเกินทุ่มครึ่ง
ฝ่าฝืนนอนหน้าบ้าน
ตอนเช้าไม่ควรลืม
ซักผ้าถูบ้านล้างชาม ก่อนออกไปทำงาน
อ่านแล้วรู้สึกตื่นเต้น ว่าคนแถบชานเมืองเขามีอารมณ์ขัน นั่งนึกปลื้มกับภาษาที่คล้ายภาษากวีของคนชานเมืองฝั่งธนฯ ทึกทักเอาเองต่อไปว่า
เขามีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ใกล้กับคนต่างจังหวัดเช่นเรา แต่ต่อมา-ปรากฏว่าวันหลังเมื่อนั่งรถร้อนสาย 124
ศาลายา-สนามหลวง ก็ได้พบข้อความเดียวกัน ปิดไว้ในตำแหน่งเดียวกัน
ก็เลยเดาว่า คงจะปิด “คำสั่งเมีย” บนรถร้อน(ไม่-แอร์)หลายสาย
บนรถแอร์ ที่วิ่งบนถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี
เช่น เบอร์ 515 เบอร์ 556 เบอร์ 170
เป็นต้น ไม่ปรากฏว่ามี
“คำสั่งเมีย” แปะไว้เหนือที่นั่งคนขับ
สงสัยว่าคนขับรถแอร์เขาไม่มีเมียกันหรือว่าอย่างไร หรือว่าเกรงใจผู้โดยสาร เพราะว่าผู้โดยสารรถแอร์
กับ คนขึ้นรถร้อน เป็นคน ๆ ละรสนิยมกัน
คนขึ้นรถร้อนมีเมีย แต่ผู้โดยสารรถเมล์แอร์ อาจจะเป็นพวกคนเมืองประเภท aspiring
social climbers เขาจะมีภรรยา เอ้ะ...หรือว่ายังงัย--สวัสดีครับ และขอบคุณที่อ่าน
เรื่องสุดท้าย
ของการเดินทางมากรุงเทพฯเที่ยวนี้เป็นเรื่องเศร้า ท่านผู้อ่านที่เป็นคนใจอ่อน ตลอดจนท่านที่มีหัวใจบาง
ๆ โปรดยุติการอ่านแต่เพียงเท่านี้ และเลิกติดตาม
เพราะตอนที่สามซึ่งเป็นตอนสุดท้าย เหมาะจะโพสต์ไว้ที่ศาลาคนโศกมากกว่าครับ
จบตอนที่ 2/3 Another day of my life in Bangkok, two years later. อีกวันหนึ่งของข้าพเจ้าในกรุงเทพฯ-สองปีต่อมา
[ยังมีต่อ.....]
--------------------------------------------------------------------------------
คลิกที่นี่ เพื่ออ่าน ตอน 1/3
คลิกที่นี่ เพื่ออ่าน ตอน 3/3
คลิกที่นี่ เพื่ออ่าน บทความเก่าชื่อ One day of my life in Bangkok เขียนเมื่อ 20 สิงหาคม 2555(ปีหลังน้ำท่วม)
--------------------------------------------------------------------------------
คลิกที่นี่ เพื่ออ่าน ตอน 1/3
คลิกที่นี่ เพื่ออ่าน ตอน 3/3
คลิกที่นี่ เพื่ออ่าน บทความเก่าชื่อ One day of my life in Bangkok เขียนเมื่อ 20 สิงหาคม 2555(ปีหลังน้ำท่วม)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น