open letter no 2

Chicago 2 why Chicago

Chicago 2 ทำไม ผมต้องดัดจริต ฟังวิทยุชิคาโก ด้วย? ๑.    ผมติดนิสัยชอบฟังวิทยุตปท. จากแดนไกลเป็นนิสัยมาแต่มัธยม เพื่อฝึกภาษา ประกอบกับมีผู...

วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

วิธีที่จะ “ไม่ทำอะไร.....”

         การที่จะ “ไม่ทำอะไร”  ซึ่งเราตั้งใจจะทำหรือจำเป็นต้องทำหรือมีหน้าที่ต้องทำนั้น มีหลายวิธี  การที่ท่านจะ “ไม่ทำอะไร” ท่านต้องมีความคิดอ่านสร้างสรรค์และรังสรรค์ โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องคิดมากหรืออ่านมาก  แค่คิดเพียงนิดเดียวท่านก็สามารถที่จะ “ไม่ทำอะไร” ได้

           เช่น ในหมู่บ้านผมที่ปักษ์ใต้ ทุกวันนี้คนยังใช้เตาถ่านกันอยู่ รวมทั้งที่บ้านผมเองด้วย  การใช้เตาถ่านเป็นเรื่องสไตล์ความพึงพอใจส่วนตัว ไม่ใช่ความล้าหลังหรือความขัดสนหรือความคิดจะอนุรักษ์  แต่มีคนจำนวนมากหันไปใช้เตาแก้ส  โดยที่เพื่อนต่างหมู่บ้านคนหนึ่งนั้น เขาก็ไม่ได้ศึกษาหาความรู้เรื่องการใช้เตาแก้สอย่างเพียงพอ  รู้เลา ๆ พอเข้าใจ รู้มากทำไม รู้ไปก็ไร้ผล – เขาคิดอย่างนั้น  และเขาก็ได้ใช้สภาพจิตคนใช้เตาถ่าน มาปรับเข้ากับการใช้เตาแก้ส  ซึ่งเตาแก้สของเขาเป็นเตาชนิดวางอยู่บนถังแก้สแคมปิงลูกเล็ก ที่สามารถหุงต้มบนถังแก้สได้เลยโดยตรง  คล้าย ๆ กับแกงไตปลาอยู่บนระเบิดนาปาล์ม  ประมาณนั้น


          อยู่มาวันหนึ่ง เขาฝืนบิดเกลียวอย่างไรก็ไม่รู้  จนเกลียวบนหัวแก้สมันปีนกัน  ซึ่งสายตาคนไม่อาจมองเห็นได้ และด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ – รู้เลา ๆ พอเข้าใจ  ต่อมา-พอเขาเปิดแก้สและจุดไฟ เพื่อจะแกงปลาทรายกับใบยี่หร่า หรือว่าจะแกงไก่ต้มแขก ก็ไม่รู้เหมือนกัน  ปรากฏว่าไอระเหยของแก้สรั่วออกจากเกลียวที่ปีนกันอยู่ แล้วติดไฟ  ถังแก้สมีลูกไฟลูกใหญ่พุ่งออกมาจากหัวถังแก้ส  เขาตกใจกับเปลวเพลิง และกระโดดหนีออกจากบ้าน ไปยืนอยู่นอกบ้าน  ทิ้งถังแก้สไว้ในครัว ปล่อยให้ไฟพวยพุ่งเสียงดังฟู่ ๆ ๆ ๆ

          ไม่ต้องเล่าต่อก็ได้ว่า ไฟไหม้บ้านเขาทั้งหลัง  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง 

          ที่จริง ถ้าเขามีความรู้เรื่องถังแก้ส เกินระดับรู้เลา ๆ พอเข้าใจ  ถ้าเขาจะรู้ว่าลูกไฟที่พุ่งออกมานั้น จะไม่มีวันทำให้ถังแก้สระเบิดได้  ถ้าเขาไม่ตกใจกับไฟ แต่ตรงเข้าอุ้มถังแก้สโยนออกนอกบ้าน  บ้านของเขาก็จะปลอดภัย  หรือใช้ผ้าผวยชุบน้ำครอบหัวถังแก้ส -- ไฟก็จะดับ  วิธีที่จะ “ไม่ทำ” สิ่งที่ถูกที่ควรอันพึงทำอันได้แก่อุ้มถังแก้สโยนออกนอกบ้าน--ของเขาก็คือ เขาวิ่งหนีออกจากบ้านเสียเอง แล้วปล่อยถังแก้สกับเปลวเพลิงไว้ในบ้าน

          บทความนี้จะได้เสนอวิธี “ไม่ทำอะไร” ที่พึงทำ หรือที่เรามีหน้าที่ต้องทำ หรือที่วิญญูชนควรทำ ให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ  เพื่อประโยชน์แก่การที่ท่านจะได้ “ไม่ทำอะไร”  ส่วนบรรดาท่านที่ปรารถนาจะทำอะไร หรือทำสิ่งที่ถูกที่ควรอันพึงทำ โปรดอย่าอ่าน – ขอร้องครับ

1)   รอแรงบันดาลใจ

ทั้งนี้  โดยใช้วิธีนั่งคิดคำนึง ครุ่นคิด และบริกรรมอยู่ในมโนนึก  ถึงสิ่งที่ท่านจะทำ  การได้นั่งคิดถึงสิ่งที่จะทำมาก ๆ ช่วยให้ท่านไม่ทำ  การนั่งรอแรงบันดาลก็เป็นส่วนหนึ่งของการนั่งคิดที่จะทำ  คือนั่งรอว่าแรงบันดาลใจมาเมื่อไรเป็นทำเมื่อนั้น  โดยส่วนมาก มันจะไม่มาหรอก และท่านก็จะประสบความสำเร็จ ในอันที่จะ “ไม่ทำอะไร”

เวลานั่งคิดฝัน ท่านควรเหม่อมองไปไกล ๆ  นั่งเหม่อมองออกไปแบบไร้ทิศทาง ปราศจากจุดมุ่งหมายใด ๆ หรืออาจนั่งมองฟ้ารอดูว่า จะมีเมฆอีกกี่ก้อนหนอ ที่จะลอยผ่านฟากฟ้ามาทางนี้ หรืออาจจะลอยผ่านไปทางโน้น  อีกนัยหนึ่ง -- จะลอยไปทางไหนก็ได้    

เจ้ากรรมแท้ ๆ จิตใต้สำนึกของท่าน ดันเกิดระลึกได้ถึงสิ่งที่ท่านควรจะทำ และแจ้งเตือนท่านว่าลงมือทำเหอะ  ท่านจงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดหาเกม เช่น เกม bounce หรือ สุโดกุ หรือเกมอะไรก็ได้ แล้วลงมือเล่นเกมกดทันที  วิธีนี้จะช่วยผ่อนคลายจิตใจ เปิดทางให้เกิดแรงบันดาลใจ  แรงบันดาลใจมาเมื่อไรเป็นทำเมื่อนั้น  ซึ่งก็อย่างที่ว่า – มันจะไม่มาหรอก

คนมักใหญ่ใฝ่สูงบางคน  เขาไม่คิดอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ผู้ไม่อยากจะทำอะไร  คนพวกนั้นคิดกลับตาลปัตรกับพวกเรา  พวกเขาไม่นั่งรอแรงบันดาลใจเพื่อจะทำธุระใด ๆ  พวกเขากลับเห็นว่าความสำเร็จเกิดจากการลงมือทำ  คนพวกนั้นคนหนึ่งกล่าวว่า อ๋อแน่นอน ผมต้องการแรงบันดาลในการทำงาน เช่นเดียวกับพวกคุณ (เขาหมายถึงพวกเรา ๆ ท่าน ๆ ผู้ไม่ชอบทำอะไร)  แต่ผมดูแลตัวเองเป็นกิจวัตรว่า ทุกวัน เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาเก้านาฬิกา  เข็มนาฬิกาชี้เลขเก้า นั่นแหละคือแรงบันดาลใจของผม และผมจะลงมือทำสิ่งที่ผมจะต้องทำ-ทันที  (เข้าใจว่า คน ๆ นี้ต้องเป็นฝรั่งอเมริกันอย่างแน่นอน  คงไม่ใช่พวกเราหรอก)   

·         คนมักใหญ่ใฝ่สูงพวกนั้น  เขาบิงานชิ้นใหญ่ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วลงมือทำทีละน้อย
·         วันรุ่งขึ้น  เขามองชิ้นงานที่ทำไปเมื่อวานปราดหนึ่ง  แล้วลงมือทำงานชิ้นส่วนเล็ก ๆ      อันเป็นชิ้นสำหรับวันนั้นต่อไป  ทำไปเรื่อย ๆ ทีละเล็กทีละน้อย

อยู่มาวันหนึ่ง เขาก็จะตื่นขึ้นมาพบกับงานชิ้นใหญ่ทั้งชิ้น เสร็จเรียบร้อยแล้ว  เขาขาดจากการเป็นสมาชิกชุมชนคนไม่ทำอะไร  เขาโชคไม่ดีเท่าพวกเรา ผู้ประสบความสำเร็จในการไม่ทำอะไร และยังสังกัดอยู่กับคอมมิวนิตีคนไม่ทำอะไร

2)   ลำเลิกอดีตเป็นนิสัย

เรามีนวนิยายภาษาไทยมีชื่อเสียงเล่มหนึ่ง ชื่อ “แลไปข้างหน้า”  แต่ในฐานะคนไม่ทำอะไร เราต้องหัดมองไปข้างหลัง และลำเลิกอดีตเป็นนิสัย จะดีกว่า 

พอทำอะไรไปได้หน่อยหนึ่ง  ก็ให้หยุดทำ แล้วหันไปแลข้างหลัง ดูผลงานเท่าที่ได้ทำแล้วเพียงเท่าหางอึ่ง  และคิดดูว่าถ้าเราทำงานนี้เสร็จ แผ่นดินจะต่ำลงอีกสักกี่มากน้อยเนี่ยะ  โลกจะมืดขึ้นแค่ไหน  และบางทีตัวเราเองอาจจะซวยก็ได้ – ถ้าเราทำการเสร็จ  การคิดอ่านแบบนี้ท่านเรียกว่า นึกฉุดตัวเอง  ซึ่งเราท่านผู้ไม่ทำอะไร พึงปลูกฝังไว้กับตัว

     นิสัยนึกฉุดและนึกตำหนิตัวเองนั้น  ครั้นฝังลึกเข้าก็จะกลายเป็นนิสัย “ขี้กลัว”  ช่วยให้เราไม่ทำอะไร  เพราะเรากลัว

     เราทุกคน ต่างมีเงาทะมึนของความกลัวลอยอยู่เหนือศีรษะ  เรากลัวว่าเราจะดูไม่ดี  วันหนึ่งเราอาจกลายเป็นคนจนแต้ม  เสน่ห์ของเราอาจจะแห้งเหือดไม่ดึงดูดผู้ใดอีกต่อไป  ใคร ๆ ก็อาจจะมองข้ามหัวเราไป  หรือมองไม่เห็นตัวเราด้วยซ้ำ  การที่เราจะธำรงชีวิตอยู่ได้นั้น เราก็ต้องทำความรู้จัก ยอมรับ และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ  กับความกลัวนานาประการให้ได้  เรียกว่ากล้อมแกล้มไปด้วยกัน  กล้า ๆ กลัว ๆ --ส่วนมากจะกลัว

     แต่ก็มีคนอีกพวกหนึ่ง  เขาไม่พอใจที่จะอยู่ร่วมกันฉันญาติกับความกลัว  แต่เขากลับเอาชนะความขี้ขลาดหวาดกลัว  แล้วก้มหน้าก้มตาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน  ไม่ใส่ใจกับอาการนึกตำหนิตัวเอง หรือนึกฉุดตัวเอง

     เขาฝึกฝนตนเองให้รู้จักลงมือทำ  ดังนี้
·         ตั้งเวลาปลุกห้านาที ไว้ที่โทรศัพท์มือถือ  แล้วลงมือทำงาน  ไม่คิดเรื่องอะไรทั้งนั้น  ทำลูกเดียว  โธ่ – แค่ห้านาทีเอง  (คราวหลัง ก็จะขยายเวลาปลุกให้นานขึ้น)

·         หรือ กำหนดปริมาณงานที่จะทำเป็นปริมาณเล็ก ๆ โดยไม่กำหนดเวลา  เช่น  ถ้าต้องยาแนวรอยปูนแตกที่บ้าน  ก็กำหนดปริมาณกิจกรรมว่า ฉันจะยารอยแตกวันละหนึ่งเมตรทุกวัน  เป็นต้น

·         เปลี่ยนวิธีทำ  หาวิธีทำกิจกรรมเดิมแต่ทำแบบใหม่  ด้วยการเขียนบัญชีหางว่าวออกมาว่า มันน่าจะมีวิธีอื่น วิธีใดบ้าง

      ผู้ที่เอาชนะอาการนึกฉุดตัวเองและความกลัวได้นั้น  ในเบื้องต้นก่อนจะลงมือทำ--เขาไม่สนใจหรอกว่า เขาจะยารอยปูนแตกสวยหรือไม่สวย เนียนหรือไม่เนียน  เขาสนใจแต่ว่าจะทำส่วนของวันนั้นให้มันเสร็จ 

คนพวกนี้ไม่ใช่พวกเรา -- ผู้ไม่ทำอะไรทั้งนั้น อย่าว่าแต่จะทำอะไรให้บรรลุผลสำเร็จ

3)   สามวันเว้นดีดซ้อมดนตรี

อาชีพหลายอาชีพและงานหลายชนิด  ความเชี่ยวชาญ ความชำนาญ และการฝึกฝนตนเองเป็นเรื่องสำคัญ  เรื่องบางอย่างใช่ว่าจะเป็นแล้วเป็นเลย  มันมีสิทธิสนิมขึ้นได้

          โรงเรียนศิลปะที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในโลก  บอกนักเรียนว่า  ที่นี่เราไม่สามารถสอนให้คุณเป็นปิกาสโซได้ดอก  แต่เราจะสอนคุณขีดเส้นตรงให้ตรง  วาดวงกลมให้กลมดิก  วาดรูปทรงกระบอกให้เป็นทรงกระบอก และวาดสามเหลี่ยมให้เป็นสามเหลี่ยม  หลังจากนั้น ถ้าคุณอยากจะเป็นปิกาสโซ  คุณต้องไปหาทางเอาเอง

          คนไม่ทำอะไรอันได้แก่พวกเรานั้น  เราจะต่อต้านกฎเกณฑ์เบสิคพื้นฐานต่าง ๆ  โดยไม่ทำความเข้าใจเสียก่อนว่า กฎเกณฑ์นั้นมีประโยชน์อะไรบ้างหรือไม่  หรือว่ามันไม่มีประโยชน์อย่างไร  เราจะหลับหูหลับตาเป็นปฏิปักษ์อย่างเดียว -- โดยไม่วิเคราะห์เสียก่อน  แล้วในทางตรงข้ามเล่า พอถึงเวลาจะยอมรับอะไร – เราก็จะหลับหูหลับตารับเอามา – เพราะเราไม่ศรัทธาต่อกาลามสูตร 

การเป็นปฏิปักษ์และการปฏิเสธทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเองเป็นพรหมผู้สร้างโลก  ไม่ต้องสนใจว่าโลกใบเดิมเป็นมาอย่างไรและเป็นอยู่อย่างไร  สร้างเอาใหม่ทีเดียวเลยดีกว่า เพราะว่าโลกใบเดิมคือน้ำเน่า โสโครก หาอะไรดีไม่ได้เลย – เหม็นหืน  ซึ่งก็จะคล้ายกับชีวิตเรานั่นเอง  เราเป็นพวกมีชีวิตเหม็นหืน  ถ้าชีวิตเราไม่เหม็นหืน ตัวเราเองก็เหม็นหืน-คือว่ามันขึ้นรา งัย

          ทางฝ่ายพวกที่ตรงข้ามกับพวกเรา อันได้แก่พวกที่ไม่ได้ ไม่ทำอะไร   คนเห็นกงจักรเป็นดอกบัวพวกนั้น  จะเพียรเรียนรู้และฝึกฝีมือ  ก้มหน้าก้มตาศึกษาลักษณะอาชีพและวิธีประกอบอาชีพตน โดยไม่ปริปากบ่นว่าร้อนนักหนาวนัก  เขาหาพรรคพวกไว้คอยท้วงติงตน – ไม่ใช่เพื่อหลอกเข้าเป็นพวกมาก ๆ เพื่อให้พวกมากลากไป  เขาหากัลยาณมิตรคนสองคน คอยประคับประคองคัดท้าย  หมั่นศึกษาสิ่งดี ๆ ที่ผู้อื่นทำกันมา  หลังจากนั้นเขาจะนำวิชาความรู้หรือทักษะเหล่านั้น มาใช้ประกอบอาชีพหรือกิจกรรมของเขาเอง  คนพวกนี้อาจจะทำผิดทำถูก  แต่การลงมือทำคือวิทยาลัยของเขา  ระหว่างที่ทำผิดทำพลาดอยู่นั้น -- เขาก็จะเรียนรู้เพิ่มขึ้นและเขาจะเติบโตขึ้น  ฝีมือเขาก็จะดีขึ้น  ปรากฏการณ์ชนิดนี้ท่านว่าเป็นสัจธรรม  บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ บอสตัน คอนซัลติง กรุป ได้เคยทำการศึกษาเป็นที่ยุติไว้ว่า ต้นทุนจะลดลงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ภายในเวลาไม่นาน หลังจากที่ความชำนิชำนาญเกิด       

          แต่พวกเราผู้มีกลิ่นกายเหม็นหืน ผู้ไม่ทำอะไร  อย่าไปสนใจคนพวกนั้นเลยจะดีกว่า  คนพวกนั้นมันน่ารำคาญ  ดูซิ-พวกมันจะคิดพิจารณางานตรงหน้าตน  และตั้งคำถามในใจต่าง ๆ นานา น่าเวียนหัว เช่น

§ ผู้สร้างงานชิ้นนี้  เขาทำอย่างไรบ้าง งานของเขาจึงชวนติดตาม หรือชวนชม หรือชวนฟัง หรือชวนซื้อหา
§  ทำไมฉันจึงชอบงานของเขา
§  เสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของงานชิ้นนี้ อยู่ที่ไหน
§  เขาสอดแทรกรายละเอียดไว้กับงาน อย่างไร
§  ทำไมงานทั้งชิ้น จึงดูไม่ขัดลูกตา
§  พลังแฝง ที่คอยผลักดันงานนี้ให้บรรลุความสำเร็จ อยู่ที่ไหน
§  งานนี้ มีอะไรที่แสดงตัวตนของผู้สร้าง ให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วไป

บทความบทนี้ ว่าด้วยการ “ไม่ทำอะไร”  ข้อคิดข้างบนจึงเป็นอันตรายต่อเรา  เพราะอาจจะเสี้ยมให้เราเกิดนึกอยากทำอะไรขึ้นมาก็ได้  ข้อคิดเหล่านั้นมันไร้สาระ เรามองข้ามไปเลยจะดีกว่า

4)   ตั้งป้อมไว้ก่อนเสมอ

ใครตินิดติหน่อย-ไม่ได้  โกรธมีนิสัยแบบเด็ก ๆ  จองหองพองขนและสำคัญตนผิดคืออาวุธประจำกายของพวกเรา  เราดีแต่จะคอยบังคับให้ใคร ๆ ยอมรับตัวเรา  ผลงานแห่งตน การเสนอขายของ ๆ ตน  ทุก ๆ คนจะต้องกด “like” ให้กับการโหลดเฟสบุค หรือการแสดงความคิดเห็นของตัว  เพราะว่า เราคือผู้วิเศษและวิสาโส ผู้หาที่ติไม่ได้เลย  แม่งแบบว่า-โคดสมบูรณ์แบบ เลยกู

ใครกด “dislike” ถือว่าดูถูก  เป็นการดูหมิ่นดูแคลนกันชัด ๆ  อะไรจะชัดเจนไปกว่านี้จะมีอีกหรือ เห็นกันโต้ง ๆ ออกอย่างนี้ รู้แล้วว่ามีอคติ  คนทุกคนที่ปฏิเสธสิ่งที่เรามีเสนอ พวกมันถ้าไม่เลว ก็แสดงว่าต้องรู้เท่าไม่ถึงการณ์  เผลอ ๆ อาจไม่มีหัวคิดเลยด้วยซ้ำ  เราเม้นต์ด่ามันไปเลย -- ไม่ต้องแสดงเหตุผล ไม่มีการอ้างเหตุผลว่าด่าทำไม  ด่าจบเราก็จะหัวเราะแบบไม่มีเหตุผล  55555 (ห้าครั้ง)

ทางฝ่ายผู้ที่บรรลุความสำเร็จในธุระใด ๆ ก็ดี  ส่วนมากเขาไม่โกรธคนที่ปฏิเสธสิ่งที่เขาเสนอให้ หรือเสนอขาย หรือเสนอแบ่งปัน  แต่เขาจะเก็บประเด็น เก็บประสบการณ์ มาเป็นสมบัติของตัวเขาเอง  การถูกปฏิเสธ -- กลายเป็นสิ่งช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้ฮึกเหิม คึกคัก เกิดปิติที่จะย่างก้าวต่อไปในทางตน 

การไปขออะไรใคร แล้วเขาปฏิเสธไม่ยอมให้ – ท่านว่าอย่าไปโกรธเขา  เว้นแต่ว่านอกจากจะปฏิเสธแล้ว เขายังตบหน้าเราแถมอีกฉาดหนึ่ง  คนชอบทำอะไร อยากทำอะไร เขายึดถือกันอย่างนั้น  เมื่อถูกปฏิเสธ -- เราย่อมเสียใจตามธรรมดามนุษย์  แต่คนชอบทำอะไรเขาเสียใจแวบเดียว ไม่นั่งคร่ำครวญ  พระอุปัชฌาย์ของผุ้เขียน สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(วิน) ซึ่งท่านก็เป็นคนตำบลและอำเภอเดียวกันกับผู้เขียน  ท่านเคยสอนอย่างนั้น  คือคนเราเสียใจกันได้ แต่อย่าคร่ำครวญ  สำหรับคนที่อยากทำอะไร เขาจะเห็นว่า การปฏิเสธกันนั้นเป็นเรื่องธรรมดาโลก  เป็นส่วนหนึ่งของมรรควิถีแห่งชีวิตที่ทุกคนต้องเดินผ่าน  สรุปว่า

·         พวกเขาเสียใจแวบเดียว แล้วก้มหน้าก้มตาทำกิจกรรม ต่อไป

·         มองข้อดี ว่าในการปฏิเสธนั้น  ผู้ปฏิเสธย่อมแลเห็นงานของเราอยู่บ้าง  อย่างน้อย ๆ ก็    มีคนรู้เห็นสิ่งที่เราทำ  อย่างน้อย ๆ ก็มีคนให้ความสนใจ  ถ้าเขาปฏิเสธด้วยประโยค        ยาว ๆ ขอให้ตั้งใจฟัง  จะเป็นคุณแก่เราทั้งนั้น – คนพูดไม่ได้อะไรมากเท่าที่เราจะได้      ดอก

แต่ข้อคิดข้างบน  เป็นภัยต่อผู้ที่ไม่ทำอะไร  คนไม่ทำอะไรโปรดมองข้ามไปเสีย

5)   เห็นแก่ได้ถ่ายเดียว

ต้องเห็น “ทางได้” เสียก่อน จึงจะลงมือทำอะไร  ฝรั่งบอกว่าต้องเห็นแก่ตลาด  จะทำอะไรต้องเล็งเห็น “ตลาด” เสียก่อน  ไม่เห็น “ตลาด” จะไม่ทำอะไร  เพราะฉะนั้น ก็จะนั่งวิเคราะห์ตลาด ความต้องการของตลาด  ดูว่าใครเขาทำอะไรออกมาแล้วขายดี  แล้วก็เข้าขบวนแห่ตามเขาไป  โดยไร้สามัญสำนึกว่าสิ่งเหล่านั้นก็ดี ตลาดนั้นก็ดี มันล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และเป็นไปแล้วทั้งสิ้น  ไม่ใช่สิ่งใหม่และไม่ใช่ตลาดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน

แต่ก่อน มีใครคิดว่าอินเตอร์เนตมีตลาดบ้าง?  แก้วกวีอย่าง อังคาร กัลยาณพงศ์ นั้น  ในโลกดึกดำบรรพ์(หมายถึง โลกก่อนเกิดอินเตอร์เนต)ถ้าสื่อสิ่งพิมพ์ไม่พิมพ์งานให้  ก็ยากที่จะมีใครรู้เห็นงานของท่าน  ต่างกับยุคนี้ที่มิตรรักนักกลอนสามารถที่จะช่วยกันเผยแพร่แบ่งปันผลงานให้กับกวี ผ่านทางอินเตอร์เนตได้   

ที่จริงสำนักคิดหลายสำนักท่านก็สอนเรื่องนี้กันอยู่แล้ว  ท่านบอกว่า ยามใดที่เราเห็น “แนวโน้มตลาด”  เห็นกิจกรรมใด หรือสิ่งใด “อิน-เทร็น”  โมงยามดังกล่าวมันสายเกินไปสำหรับเราที่จะทำกิจกรรมนั้น ๆ แล้วล่ะ  พอเราเห็นรถไฟขบวน “อิน-เทร็น” ผ่านมา ก็แปลว่า มันกำลังจะผ่านหน้าเราไป

เสี่ยงเอาเองนะ  เสี่ยงเพิกเฉยต่อ “แนวโน้ม” “ตลาด” “อิน-เทร็น” และขบวนแห่ทั้งหลาย  แล้วเลือกทำสิ่งที่ตนเองเห็นดีเห็นงาม  ซึ่งพอทำเสร็จ คนทั้งหลายอาจจะแซ่ซ้องสรรเสริญว่า นี่งัย – ครกวิเศษ ลอยน้ำได้  คนทั้งหลายจะพบสิ่งที่เขากำลังรอ –  ใหม่จริง ใหม่ถอดด้าม ใหม่โชว์รูม นี่งัย ครกวิเศษลอยน้ำได้ที่ไม่เคยมีมาก่อน และที่ไม่ใช่ครกโฟม

ครูผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งสอนว่า  การที่เราจะทำอะไรให้สำเร็จ เราก็ต้องมีสำนึกเรื่องตลาดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว  คือเราเห็นว่าตลาดเป็นแหล่งกระจายข้าวของทั้งหลาย  นายทุนนายเงินเขาหว่านเงินลงมาเขาก็ต้องรอเก็บเกี่ยวผล  ความจริงข้อนี้เรายอมรับอยู่ว่ามันจริงอย่างนั้น  ซึ่งใคร ๆ ก็รู้กันทั่ว ไม่ใช่ประเด็นแปลกพิเศษ  แต่ความจริงข้อนี้ก็ไม่ได้มาเป็นตัวตัดสิน ว่าเราจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร  ความตั้งใจของเราเองต่างหากที่เป็นตัวตัดสิน  ของดีจริง -- ขอให้เกิดขึ้นมาเถิด แล้วตลาด แม่งจะเกิดขึ้น-ตามของ  ไม่ใช่ของเกิด-ตามตลาด  คนทำอะไรเขาจะคิดอย่างนี้  แม้จะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป – แต่คนทำอะไร เขามักจะคิดอย่างนี้

เพราะฉะนั้น การคิดคำนึงถึงตลาดผิดท่าผิดทาง ในบางกรณีก็เป็นการบ่อนทำลายสังคม  เช่น คอยฆ่าสิ่งดี ๆ โดยไม่ยอมให้เกิด

แต่.....บางที เราก็ต้องหาทางแทรกเรื่องของเราลงไปในตลาด เพราะเราไม่ได้ปฏิปักษ์ต่อตลาด เรายอมรับว่าตลาดมันมีอยู่  ระหว่างที่คนในวงการตลาดกำลังดีดลูกคิดกันอยู่นั้น  เราต้องเสนอขนมถาดใหม่  ที่ทำขึ้นจากแรงใจของเรา หัวใจเรา และฝีมือเรา  เป็นขนมถาดที่เย้ายวนชวนกินสำหรับผู้คน  เป็นรสชาติชนิดใหม่ที่ไม่มีใครเคยลิ้มรสมาก่อนในโลกนี้  คนหลายคนอยากได้ลองลิ้มชิมดู  แล้วซื้อหาขนมเราไปกิน  จน “ตลาด” ขนมของเราเกิด

ความสุขใจเบื้องแรกของเรา ก็คือการที่เราได้ทำขนมถาดนั้นขึ้นมา  นั่นคือผลตอบแทนหลัก ผลตอบแทนแรก และบางที.....ก็อาจจะเป็นผลตอบแทนเดียวที่เราจะได้ด้วยซ้ำ  แต่คนทำอะไรเขาก็พอใจที่จะทำ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ความสุขที่เกิดจากการลงมือทำ อาจจะเป็นเพียงผลตอบแทนชนิดเดียวที่เขาจะได้ 

ช่างมัน—เราสุขใจก็แล้วกัน  แต่เชื่อเหอะ สมัยโลกาภิวัฒน์นี้ เป็นไปไม่ได้ดอกที่เราสร้างอะไรขึ้นมาแล้วจะไม่มีใครแวะชม  เราเป็นพลเมืองของโลกไซเบอร์ที่มีพลเมืองนับพัน ๆ ล้านคน  และไร้พรมแดน  มันจะมีคนสองสามคน หรือสี่ห้าคน หรือสิบยี่สิบ หรืออาจจะนับร้อยนับพัน หรือกว่านั้น  ที่พวกเขาจะหาเราเจอเสมอ -- ข้อเท็จจริงประเด็นนี้ชาวไซเบอร์รู้กันทุกคน  ในที่สุดแล้วประเด็นจึงอยู่ที่ว่า เรามีอะไรจะพูด จะเสนอ จะแบ่งปัน จะเล่าสู่กันฟัง จะขาย จะสนุกสนาน ร่วมกับพลโลกเขาล่ะ?

คนเห็นแก่ได้ถ่ายเดียว  หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องการตลาด  เป็นคนไม่คิดจะปันอะไรกับใคร  เขาไม่มีอะไรทำและเขาไม่ทำอะไร  เขาไม่ยอมคิดว่าเราต้องทำอะไรขึ้นมาก่อน แล้วเราจึงจะมีอะไรทำ  ถ้าท่านไม่อยากจะทำอะไร  ท่านมาถูกทางแล้วล่ะ โปรดออกไปวิเคราะห์ตลาดแล้วท่านก็จะหมดกำลังใจที่จะทำอะไร

6)   คิดแต่จะหาทางลัดที่สุด

คนพวกนี้ แม้แต่ทางตรง เขายังไม่ชอบเลย  เขาต้องการ “ทางลัด” เท่านั้น  วันหนึ่ง ๆ เขานั่งคิดหาทางที่จะไม่ทำอะไร  ด้วยการคิดวนเวียน วกไปเวียนมา กะจะหาทางลัด

มันต้อง ลัดนิ้วมือเดียว แบบในนิยายสำหรับเด็ก  ยิ่งสมัยนี้ยุคที่คนติดต่อถึงกันทั่วโลก  เราจะอยู่ในหุบ ในเขา ในมาบ หรือในเมือง ล้วนสื่อสารถึงกันได้หมด  หลายสิ่งหลายจึงดูเหมือนจะง่าย ๆ ไม่น่าจะมีอะไรยาก  หลาย ๆ คนพากันหาทางง่ายที่สุด ไวที่สุด  และบางครั้งจึงหลงไปเดินตามทางที่ฉาบฉวยที่สุด 

การลำเลิกอดีต กับ การหาทางลัดสุด ๆ ท่านว่าไปด้วยกันได้  สองแรงแข็งขันช่วยให้เรา”ไม่ทำอะไร”  แน่นอนยิ่งขึ้น 

การได้ปรากฏตัวบนโลกไซเบอร์(ในอินเตอร์เนต)ช่วยกล่อมให้เรารู้สึกว่า ทุกอย่างมันง่ายดีแท้  เราเปิดร้านในอินเตอร์เนตเอาไว้  แล้วเราก็หยุดที่จะเพียรต่อไป  เหมือนเพื่อนบ้านผู้เขียนที่ใช้เตาแก้ส  จุดทีเดียวไฟติด อะไรมันจะง่ายอย่างนั้น  ขณะที่ผู้เขียนจะทอดใข่สักฟองยังต้องก่อไฟในเตาถ่านเสียก่อน  ก่อแล้วยังต้องรอให้ไฟติด และรอให้ถ่านคุขึ้นปริมาณหนึ่งจึงหุงต้มได้

อะไรที่มันง่ายเกินไป มันมักจะหลอกลวง  ศิลปินอาวุโส ลาตา มังเกศการ์  ชาวภารตะ ดาราบอลลีวูด(หนังแขก จากเมืองบอมเบย์)  เธอทั้งเล่นหนังทั้งร้องเพลงตลอดชีวิต  กระทั่งบั้นปลายเมื่ออินเดียให้เครื่องราชฯสูงสุด “ภารตะ รัตนะ” แก่เธอ  อันเป็นนรางวัลที่หวงแหนของอินเดีย และให้คนไปไม่ถึงร้อยคนตั้งแต่ตั้งประเทศ ชาวต่างประเทศที่เคยได้รับมีเพียงคนเดียวคือ เนลสัน มันเดลลา อดีตประธานาธิบดีอัฟริกาใต้ผู้ล่วงลับไปแล้ว  เมื่อทางการอินเดียประกาศมอบให้เธอ เธอดีใจกับกล่าวว่า What has to happen happens in its own time. I feel nothing should come to a human being easily.”

เราผู้ไม่ทำอะไร เราไม่คิดอย่าง ลาตา มังเกศการ์  เราต้องการคลิกเจอ-เดี๋ยวนี้เราเสพติดการหลอกให้คลิกง่าย ๆ คลิกไปเรื่อย ๆ  ท่านผู้อ่านไม่เชื่อใช่ไหม?  แสดงว่าท่านไม่เคยกดอ่านเสียงเรียกเข้ามือถือ ที่ชวนให้กดนั่นกดนี่เพื่อพบกับหนทางชีวิตง่าย ๆ วันละกี่ครั้งกี่หนก็ไม่รู้   เดี๋ยวก็เลขเด็ด เดี๋ยวก็ดวงเฮง เดี๋ยวก็จะได้ทอง เดี๋ยวก็จะได้เงิน  ง่าย ๆ

ทางลัดอีกทางหนึ่ง ที่จะไม่ทำอะไร ได้แก่การนั่งเพ้อฝันว่า สิ่งที่จะต้องทำหรือกำลังจะทำนั้น “ยิ่งใหญ่--ซะเหลือเกิน”  โดยสำคัญผิดว่าการนั่งเพ้อแบบยิ่งใหญ่จะช่วยเรียกกำลังใจ  แต่หารู้ไม่ว่า ยิ่งเพ้อว่าสิ่งที่ตนจะทำช่างสำคัญใหญ่โตมโหฬารมากเท่าไร  ความระย่อก็จะเกิดขึ้นในใจมากเท่านั้น  แล้วในที่สุดก็จะกลัว “ความยิ่งใหญ่” จนไม่ได้ทำ

พวกที่เขาอยากจะทำอะไร  เขายังใช้ความเพียรแบบเก่า ๆ กันอยู่  เขาไม่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จได้ด้วยการคลิกเพียงอย่างเดียว  เขาหาที่ปรึกษา ตัวช่วย ผู้รู้ ครู กูรู  ซึ่งบางทีก็ต้องจ้างมา เขารู้จักที่จะหาครูที่ดีและยอมเสียเวลา  การทำอะไรคนเราต้องมีเวลาจะเสียให้กับเรื่องที่เราจะทำ  ถ้าเราเป็นคนไม่มีเวลาจะเสีย ชอบหาทางลัด เราจะไม่มีวันได้ทำอะไร 

7)     ถ้ากำลังทำอยู่ ก็ให้เลิกทำซะ

ถ้าวิธีที่จะ “ไม่ทำอะไร”  ดังได้ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนั้น ล้มเหลวหมดทุกวิธี  กล่าวคือเรายังดันทุรังทำอยู่อีก  ผู้รู้แนะนำว่า เรายังมีหนทางเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ที่จะหยุดสนิทไม่ให้เราทำอะไร  ได้แก่ ให้หยุดทำซะ

นักเขียนที่เป็นสามัญชนคนธรรมดา  ไม่ได้มีญาติโกโหติกาหรือวงวานหว่านเครือ เป็นเจ้าของสื่อ เช่น ตัวผู้เขียนเอง เป็นต้น  ชีวิตเรายากลำบากด้วยกันทุกคน  งานที่เราทำ เราต้องทำด้วยความเพียร ขาดความเพียรเสียอย่างเราจะไม่มีวันจะเขียนสำเร็จ - นั่นประการหนึ่ง  อีกประการหนึ่งก็คือพอเขียนเสร็จแล้ว งานของเราก็จะอยู่ในสภาพ “ต้นฉบับ”  ยังไม่เป็นหนังสือ  เราต้องใช้เวลาเร่ขายต้นฉบับ อีกประมาณเท่า ๆ กับเวลาที่เราใช้เขียนหนังสือ หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ  ถ้าเขียนปีหนึ่งก็ต้องเร่ขายอยู่ปีหนึ่งหรือกว่านั้น  จึงจะโชคดีได้พบกับผู้รับตีพิมพ์ให้เรา  ระหว่างนั้นเราก็จะพบกับการปฏิเสธอย่างสุภาพบ้าง ปฏิเสธตามฟอร์มบ้าง ปฏิเสธด้วยการเฉยเมยบ้าง  และปฏิเสธด้วยความเงียบสนิทบ้าง

นักเขียนธรรมดาทั่วไปจะบอกท่านได้ว่า ความเพียรและความอดทน เป็นคุณสมบัติที่พวกเราปลูกฝังไว้กับใจตน  เราไม่ระย่อ ย่อท้อหวั่นไหวใด ๆ ทั้งนั้น  ตราบใดที่เรายังมีคีย์บอร์ด หรือโน้ตบุค หรือกระดาษดินสอ  เราเขียนได้เสมอ  ที่จริงการได้เขียนนั่นแหละคือผลตอบแทนหลักของเรา  ไม่ใช่เงินทอง  ซึ่งจะมาหรือไม่มาก็ไม่รู้  แต่เราเชื่ออย่างมั่นคงว่า ตราบใดที่เรายังเขียนอยู่  และเราเขียนไม่หยุด  สักวันหนึ่งเราจะได้รับการตีพิมพ์  โอกาสของเราจะยังมี – ถ้าเรายังเขียน

นักเขียนฝรั่งที่พอจะมีชื่อเสียงท่านหนึ่งในวันนี้  บอกนักเขียนด้วยกันทำนองว่า  ให้เขียนต่อไป พยายามต่อไป เชื่อมั่นในงานอาชีพของเราเอง  วันนี้อาจจะยังไม่ใช่วันของเรา  แต่เราก็กำลังทำสิ่งที่เรารักจะทำ  ถ้าจิตใจเราไม่มั่นคงถึงขั้นนี้ ท่านว่าให้ไปรับจ้างตัดปาล์ม เก็บลูกกาแฟ รับจ้างกรีดยาง ตัดทุเรียน ฉีดยาในไร่แตง เป็นลูกเรือประมง ช่วยเขารุนอวนในทะเล หรือเป็นลูกจ้างชั่วคราวของเทศบาล หรืออบต. จะดีกว่า 

ขอโทษ ที่ยกตัวอย่างเรื่องราวในแวดวงอาชีพตน  แต่ว่า – เอ๊ะ – เรื่องทียกมานั้น  จะช่วยเป็นกำลังใจให้ท่าน ทำอะไร หรือ ไม่ทำอะไร กันแน่?  ท่านผู้อ่านเลือกที่จะหยิบใช้ก็แล้วกัน สวัสดีครับ ขอให้ท่านและข้าพเจ้าประสบโชคดีที่จะ ไม่ทำอะไร หรือที่จะ ทำอะไร ตามแต่ท่านหรือข้าพเจ้าจะปราถนา




          
          

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น