อีกวันหนึ่งของฉันในกรุงเทพฯ - สองปีต่อมา
--แดง
ใบเล่
ตอน 1/3
เมื่อสองปีก่อน ผู้เขียนเดินทางไปกรุงเทพฯ
และได้เขียนบันทึกปิดไว้ที่บล็อก ชื่อบทความว่า “One day of my life
in Bangkok”โดยที่เนื้อหาเขียนเป็นภาษาไทย บัดนี้ สองปีล่วงแล้ว ก็ได้เดินทางจากกระท่อม(หรือกาบานา
–cabaña – ที่จริงอ่านว่า กาบานญ่า)ริมห้วยในชนบททางภาคใต้
ขึ้นมากรุงเทพฯอีกครั้งหนึ่ง และเขียนบันทึกฉบับนี้ ใช้ชื่อว่า“Another day
of my life in Bangkok, two years later” ความเรียงสองเรื่องนี้เป็นอิสระจากกัน
ไม่จำเป็นจะต้องอ่านต่อเนื่องกัน
มาคราวนี้การเดินทางภายในกรุงเทพฯของผู้เขียนสะดวกขึ้นกว่าครั้งก่อนมาก เนื่องจากสถานีรถไฟฟ้า สถานีบางหว้า
เปิดให้บริการแล้ว จากบ้านพักผู้เขียนแถวพุทธมณฑล
ไม่ต้องถ่อสังขารไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อจะขึ้นรถไฟลอยฟ้าเหมือนเก่าอีกแล้ว เพราะสถานีรถไฟลอยฟ้าได้ขยับเข้ามาใกล้ขึ้น เดินทางจากบ้านพักไปแค่บางหว้า
ผู้เขียนก็สามารถไปไหนต่อไหนได้สุดเหนือใต้ออกตกของกรุงเทพฯ
ด้วยระบบรถไฟลอยฟ้ากับรถใต้ดิน
สำหรับจิตใจของคนเดินทาง
กรณีนี้ทำให้นึกถึงเมื่อครั้งไป เม็กซิโก ซิตี ครั้งแรก
ที่เขามีรถใต้ดินเพียงสองสาย
แต่เมื่อไปครั้งล่าสุดเขามีถึงสิบสามสาย – จะไปจุดไหนก็ได้ดังใจ แม้พัฒนาการของการขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ จะยังไม่กระโดดไปไกลถึงขั้นนั้น แต่ก็นับว่าน่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เขียน ซึ่งมากรุงเทพฯครั้งนี้มีธุระแต่ละที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟลอยฟ้าและสถานีรถใต้ดิน
เริ่มแรก.....ตื่นแต่เช้ามืด
ออกมาขึ้นรถแอร์เบอร์ 515 ปลายทางอนุสาวรีย์ชัยฯ
ผ่านสถานีขนส่งสายใต้มาแล้วก็เตรียมตัวลงที่หน้าสถานีตำรวจ สน.ตลิ่งชัน
ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากปากทางถนนราชพฤกษ์ เดินข้ามสะพานลอยไปรอรถร้อนเบอร์ 89 ที่มาจากสวนผัก เป็นรถเมล์สายสวนผัก-เทคนิค(วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ) ซึ่งมาตามถนนบรมราชชนนี
แล้วจะเลี้ยวเข้าถนนราชพฤกษ์ บ่ายหน้าไปถนนเพชรเกษม
รถเมล์เบอร์นี้จะผ่านสถานีรถไฟลอยฟ้า -- สถานีบางหว้า
แต่ไหนแต่ไรมา ผู้เขียนไม่เคยสนใจเลยว่า บางหว้า
อยู่ที่ไหน เคยแต่ได้ยินชื่อว่า บางหว้า ๆ ๆ จึงคะเนเอาว่า สถานีบางหว้า
คงจะอยู่กลางทางบนถนนราชพฤกษ์ ไม่ได้นึกว่า ที่จริงสถานีบางหว้า คร่อมอยู่เหนือถนนเพชรเกษม ถ้ามาจากนครปฐม บางหว้าจะอยู่เลยบางแคมาไม่ไกล
ถ้าเดินทางออกไปจากท่าพระ บางหว้าก็จะอยู่ก่อนถึงบางแค ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนทราบข้อมูลนี้เพราะไปพบมาเอง
รู้สึกดีใจเหมือนได้แก้ว
จากสถานีบางหว้า ผู้เขียนใช้บัตรโดยสารรถไฟฟ้า
โดยใช้บัตรใบเดิมที่ซื้อไว้ตั้งแต่มากรุงเทพฯเมื่อสองปีก่อน บัตรมีอายุความห้าปี เพื่อให้แน่ใจก็ได้ถามเจ้าหน้าที่ขายตั๋วว่า
จะเติมเงินห้าสิบบาทลงในบัตรได้ไหม นึกว่าเหมือนมือถือ เพราะกับมือถือ ผู้เขียนเติมเงินเพียงครั้งละยี่สิบหรือสามสิบบาทเท่านั้น
แต่ว่าใช้โปรโมชันส่งข้อความ
เจ้าหน้าที่ตอบว่าห้าสิบบาทเติมไม่ได้ ต้องเติมอย่างน้อยหนึ่งร้อยบาท ซึ่งผู้เขียนก็ตอบตกลงเพราะไม่คิดว่าการเดินทางของเรา
ณ บัดนั้น จะมีอ็อปชั่นอื่นที่ดีกว่านี้
สถานีรถไฟลอยฟ้าบางหว้า ปูพื้นด้วยหินแกรนิตอันเป็นวัสดุก่อสร้างที่แข็งแรงทนทาน
เป็นที่ชื่นชอบของวิศวกรก่อสร้างหลาย ๆ คน รวมทั้งสหายของผู้เขียน
วิศวกรชาวฝรั่งเศส ทำงานอยู่กับบริษัทก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส
ชื่อบริษัทบูอิค บริษัทนี้มีงานทั้งที่เขมรและที่เมืองไทย ผู้เขียนสังเกตเห็นว่าวัสดุก่อสร้างชนิดนี้
ถูกนำมาใช้มากตามสถานีรถไฟฟ้าและรถใต้ดิน
ในอดีตนั้น เคยมีหินแกรนิตมีชื่อเสียงอยู่ก้อนหนึ่ง ถูกขนมาจากจังหวัดตาก
นำมาแกะสลักเป็นธรรมจักร ตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล
สำหรับชีวิตคน ๆ หนึ่งที่ทัศนียภาพรอบตัว
มองเห็นแต่ภูเขาหินปูนในภาคใต้ของประเทศไทย
ต้องนั่งรถไฟแล่นเลียบเขาสง อันเป็นภูเขาหินปูนยาวนับสิบกิโลเมตร
ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประจำไม่เว้นแต่ละเดือน—หินแกรนิตจึงเป็นของแปลก ให้ความรู้สึกประหลาด
ความโอ่โถงทันสมัยของสถานีรถไฟลอยฟ้าบางหว้า
ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่ายุคใหม่จริง ๆ ชนิดนานาชาติหรือนานาภาษา
ได้มาถึงชานเมืองฝั่งธนฯของเราแล้ว ที่ว่าฝั่งธนฯของเรา-ผู้เขียนหมายความถึงคนฝั่งธนฯรุ่นหลัง
ๆ ไม่ได้คิดถึงคนฝั่งธนฯรุ่นดั้งเดิม ซึ่งพวกเขาจะอยู่กันตามริมฝั่งคลอง เช่น
คลองบางหลวง คลองภาษีเจริญ คลองฯลฯ
คนฝั่งธนฯรุ่นใหม่เช่นผู้เขียนเป็นต้นเรามากับถนน-ไม่ได้มากับคลอง
ถนนแรกที่นำพวกเรามาฝั่งธนฯคือถนนเพชรเกษม และต่อมาคือถนนบรมราชชนนีซึ่งเดิมชื่อถนนปิ่นเกล้า-นครไชยศรี
ขณะกำลังเดินอยู่บนสถานี บรรยายกาศอันโอ่โถงของสถานีทำให้เคลิ้ม
ๆ ไปว่า ไม่ได้เดินอยู่ที่ธนบุรี นึกว่ากำลังเดินอยู่ที่สถานีรถไฟ
ซานตา ฆุสตา ซึ่งสร้างใหม่รองรับขบวนรถด่วนพิเศษ--รถไฟความเร็วสูง Alta
Velocidad Española อัลตา เวลโดซิดาด เอสปันโญลล่า ที่เมืองเซวิล ในแคว้นอัลดาลูเซีย ทางใต้ประเทศสเปนหรืออาจนึกว่าเดินอยู่ที่สถานีชานเมือง
กรุงเม็กซิโก ซิตี ก็ได้ หรืออยู่ที่สถานีรถไฟลอยฟ้า กรุงนิวเดลลี อินเดีย ก็ได้
หรือที่ไหนสักแห่งในเยอรมัน ก็ได้ หรืออาจจะเป็นชานเมืองฮ่องกง ก็ได้อีก ถ้าพิศดูสถานที่เพียงผาด ๆ ความโอ่โถงทันสมัยของสถานีขนส่งมวลชน
บางหว้า อาจจะตั้งอยู่ที่ไหนก็ได้ในเมืองใหญ่ในโลกสมัยใหม่
ไม่จำเป็นต้องเป็นธนบุรี
โลกสมัยเก่า - สถานีขนส่งมวลชน
หมายถึงสถานีรถไฟสไตล์ยุโรปและอเมริกา เขาสร้างกันเหมือนเทวาลัยหรือโบสถ์วิหาร มีผู้วิจารณ์ว่าเป็นความพยายามที่จะสร้างความขลัง
ให้แก่เทคโนลียีสมัยใหม่ในสมัยนั้น อันได้แก่เครื่องจักรไอน้ำ แต่บางท่านเห็นว่า
การที่สถานีรถไฟยุโรปรุ่นโบราณ ใหญ่โตโอ่โถง อาจเป็นด้วยเหตุที่ว่ารถจักรไอน้ำมีเขม่าควันคลุ้งและมีทั้งไอน้ำที่พวยพุ่งออกมา
หลังคาก็ต้องสูงใหญ่โอ่โถง มิฉะนั้น ทั้งเขม่าควันถ่านหินอันเป็นเชื้อเพลิงต้มน้ำบนหัวรถจักร
และไอน้ำจะคลุ้งไปหมดทั้งสถานี จนผู้โดยสารเดินหาขบวนรถไม่เจอ ก็เป็นได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น นั่นเป็นเรื่องของอดีตศตวรรษ
แต่ในศตวรรษนี้ รถไฟลอยฟ้าในเมืองชิคาโก ที่เรียกกันว่า
“ดิ แอล”ยังคงสภาพบุร่ำบุราณเหมือนในศตวรรษเก่า ทั้ง ๆ ที่ตู้โดยสารอาจสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ก็ยังเป็นตู้สั้น ๆเพราะถูกจำกัดด้วยสภาพของรางที่ต้องหักมุมเลี้ยวอยู่ตามซอกตึกสูงกลางเมืองชิคาโก--เป็นมุมแคบ
ทำตู้ยาวมากไม่ได้ ต้องอาศัยต่อตู้สั้น ๆ เข้าด้วยกันหลาย ๆ ตู้ ดูไกล ๆ เหมือนรถไฟเด็กเล่น รถลอยฟ้าในชิคาโกที่ผู้เขียนเคยใช้บริการสมัยเรียนหนังสือที่นั่น
และระยะหลัง ๆ เมื่อแวะไปเที่ยว ทุกอย่างก็ยังดูเก่า ๆ โกโรโกโสเหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ อาจเป็นของที่สร้างขึ้นใหม่
อีกประการหนึ่ง
สหรัฐฯเป็นประเทศที่ไม่เน้นการขนส่งมวลชน สภาพการขนส่งมวลชนของสหรัฐฯ
จึงล้าหลังยุโรปประมาณร้อยปีเห็นจะได้
สหรัฐฯเพิ่งจะมาตื่นตัวเรื่องนี้ ในระยะหลัง ๆ นี้เอง
เริ่มด้วยการก่อสร้างระบบรถไฟใต้ดินในกรุงวอชิงตัน เมื่อประมาณสักสามสิบกว่าปีที่แล้ว ส่วนระบบรถใต้ดินในชิคาโกยังคงไดโนเสาร์มากแม้กระทั่งในวันนี้ ล้าหลังรถใต้ดินในกรุงเทพฯเยอะเลย สถานีมืดสลัว มีแต่พื้นซีเมนต์เก่า ๆ
จะหาหินแกรนิตขัดมันสักแผ่นก็ไม่มี
แล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้ ปรากฏว่าคนขับรถซึ่งเป็นผู้หญิง เธอนั่งหลับใน
ขับรถซึ่งสุดปลายทางที่สนามบินนานาชาติ โอแฮร์ อินเตอร์แนชันแนล แอร์ปอร์ต ของนครชิคาโก
เสยรถทั้งขบวนเข้าในสถานีที่สนามบิน
ผู้เขียนไม่ได้ฟังข่าวละเอียด แต่คงจะมีคนหัวร้างข้างแตกกันมั่งแหละ
ที่นิวยอร์ค สถานีแกรนด์ เซ็นทรัล สเตชัน
เป็นศูนย์รวมรถไฟชานเมือง ห้องโถงอันมีหลังคาสูงโอ่โถงของสถานีนั้น
เคยเป็นฉากหนังอเมริกันหลายเรื่อง
ยังคงสภาพดั้งเดิม เป็นเทวาลัยแห่งการขนส่งมวลชนทางรถไฟ
เมื่อไม่กี่ปีมานี้ผู้เขียนได้ไปใช้บริการนั่งรถไฟชานเมืองออกไปเที่ยวในรัฐคอนเนคติคัต
ด้านที่อยู่ติดกับนิวยอร์ค พบว่าห้องโถงสถานียูเนียน
สเตชัน ยังดูโบราณเหมือนเดิม เพียงแต่มี “ศูนย์อาหาร” เล็ก ๆ
ขายอาหารกินไม่ถูกปากสักอย่าง เพิ่มเข้ามา
สู้ศูนย์อาหารที่หัวลำโพงไม่ได้
ส่วนสถานีรถไฟเพ็นสเตชันในนิวยอร์คเป็นสถานีสำหรับรถไฟทางไกล
ครั้งล่าสุดที่ผู้เขียนไปเยือน สถานีได้รับการปรับปรุงใหม่
น่าตื่นเต้นกว่าเดิม
ข้อมูลตารางเวลารถแอมแทรค(การรถไฟแห่งอเมริกา) วางไว้ให้หยิบฟรี
บรรยากาศในห้องโถงชวนให้เดินทาง ไม่เครียด ไม่อึมครึม
มากรุงเทพฯเที่ยวนี้ ผู้เขียนมีธุระที่ศาลแพ่ง
ถนนรัชดาฯ ซึ่งจะต้องไปต่อรถใต้ดินที่ สถานีศาลาแดง
คือลงจากรถไฟลอยฟ้าที่สถานีศาลาแดง
แล้วเดินไปตามทางเดินลอยฟ้า เชื่อมต่อไปมุดลงสถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่บริเวณไม่ไกลกัน
–แต่อยู่ใต้ดิน และมีชื่อสถานีของตัวเองเรียกชื่อว่า สถานีสีลม แรก ๆ ฟังแล้วงงชิบเป๋งเลย สงสัยว่าทำไมเขาไม่ตั้งชื่อเดียวกันไปเลย
ผู้โดยสารรถไฟลอยฟ้ามีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเมื่อสองปีก่อน
คราวก่อน-ได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คนจำนวนมากในรถไฟลอยฟ้า มีหูฟังเสียบหู
มากรุงเทพฯเที่ยวนี้พบว่าผู้โดยสารแม้จะยังมีหูฟังเสียบหูอยู่ก็ตาม
แต่ดูจะน้อยกว่าเมื่อสองปีก่อน เพราะ ครั้งนี้
คนจำนวนมากง่วนอยู่กับการนั่งงมมองหน้าจอเล็กที่ถืออยู่กับมือ พลางใช้นิ้วขีดไปมาบนหน้าจอนั้น ซึ่งก็สุดที่จะเดาว่าเขานั่งดูอะไรกัน
แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความสุขกับการขีดนิ้วไปบนจอ พอพวกเขาแต่ละคนขึ้นรถมาและหาที่นั่งได้
เขาก็จะเอาจอขึ้นมาถือ พลางนั่งใช้นิ้วขีดไปมากับหน้าจอ ไม่สนใจใยดีสิ่งแวดล้อม แต่ละคนก็ดูจะมีความพอใจกับหน้าจอของตน เป็นโลกส่วนตัว
จอใครจอมัน
ในตู้รถไฟท้องถิ่นที่บ้าน
ซึ่งผู้เขียนโดยสารไปธุระที่อำเภอใกล้เคียงอยู่เป็นประจำนั้น
ก็มีคนนั่งขีดหน้าจอกันประปราย
เพราะฉะนั้น ภาพคนนั่งงมอยู่กับหน้าจอจึงไม่ใช่ภาพใหม่ที่ไม่เคยเห็น ที่แปลกก็คือบนรถไฟลอยฟ้า คนพวกนี้มีเยอะ
ได้เห็นคนนั่งหรือยืนงมอยู่กับหน้าจอเล็กเท่าฝ่ามือ อยู่ในที่เดียวกันเป็นจำนวนมาก คล้าย ๆ กับว่าเขาจะไปงานเดียวกัน
หรือว่าอย่างไร
ภายในตู้โดยสารรถไฟลอยฟ้า
มีโฆษณาบ้าคลั่ง
ที่จริงเขาโฆษณาบ้าคลั่งกันทั่วกรุงเทพฯ
จอโฆษณาเล็ก ๆ ที่ตรึงติดอยู่ใกล้เพดานรถ
พยายามจะขายทั้งสินค้าและบริการนานาชนิด ตั้งแต่อาหารไปจนถึงบริการโทรศัพท์มือถือ ที่กรุงปารีส เมื่อไม่กี่ปีมานี้เขาถามผู้โดยสารรถใต้ดินว่า
จะให้มีโฆษณาสินค้าในรถจะเอาไหม ผู้โดยสารชาวปารีสส่วนใหญ่ลงคะแนนว่า “ไม่เอา”
ผู้เขียนมีความรู้สึกตามที่ตาเห็นว่า จอโฆษณาในตู้รถไฟลอยฟ้าไม่ได้เสนอข่าวสารอะไรที่จะมีสาระเป็นประโยชน์แก่ผู้คนสักกี่มากน้อย
ตลอดเวลาที่ได้โดยสารรถไฟฟ้าระหว่างเดินทางอยู่ในกรุงเทพฯเที่ยวนี้
เห็นโฆษณาที่น่าดูและมีรสนิยมถูกใจ--อยู่ชิ้นเดียว คือ โฆษณาของ ปิแอร์ กาแด็ง
เห็นอยู่บนรถไฟลอยฟ้าที่แล่นไปแบริ่ง นอกนั้นมีความรู้สึกว่า ชิ้นงานโฆษณาทั้งหลายล้วนเป็นสวะขยะทั้งนั้น –ขออภัยชาวกรุงเทพฯทุกท่านด้วยครับ มันรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆไม่ได้เสแสร้ง เรื่องนี้พิสูจน์กันได้ ใครไม่เชื่อก็ลองขึ้นรถ
ชมโฆษณาชิ้นนั้นของเขาดูแล้วกัน
แต่ก็มีอะไรที่น่าดูน่าชม อยู่อย่างหนึ่งบนรถไฟลอยฟ้า
คือ การแต่งกายของสตรีวัยสาวทั้งหลาย
ผู้เขียนพบว่า สาว ๆ ชาวกรุงเธอนุ่งกางเกงในขึ้นรถกันมาก เป็นกางเกงในชนิดมีขาเหลื่อมลงมาปิดต้นขานิดหนึ่ง โชว์ท่อนขาทั้งท่อนเปล่าเปลือย ทำให้นึกถึงเพลง ๆ หนึ่งที่ได้ยินบ่อย ๆ ที่ต่างจังหวัด
เขาร้องว่า “ขาขาว ๆ ก็พอไหว
แต่บางคนขาลาย ไม่เอาไหนเลย” ขาลายไม่ลายเปล่า บางคนขาลายตันอ้วนเหมือนขาหมูฉีดสารเร่งเนื้อแดง เธอโชว์ท่อนไขมันต้นขาอ้วน ๆ เหมือนท่อนซุงไขมันกระเพื่อมแนบสนิทชิดกัน ท่อนขาตอนบนของเธอที่อวบอูมมันหมูและน้ำมันปาล์มจากของทอดนานาชนิด
แนบชิดติดกันจนไม่ยอมเปิดโอกาสให้มีช่องว่าง พอที่แสงจะส่องลอดผ่านได้เลย –ขาคนอะไรช่างใจดำ แบบนี้ต้องหั่นไปทอดdeep
fry
ที่สถานีสยามสแควร์
ผู้เขียนพบสาวชาวต่างประเทศผู้หนึ่ง เข้าใจว่าเป็นชาวฮ่องกง เธอนุ่งกางเกงในชนิดที่ว่านั่น
เป็นกางเกงในสตรีที่สวยที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยได้พบเห็น แต่ท่านผู้อ่านบางท่านผู้แก่ประสบการณ์
อาจจะเคยพบเห็นสวยกว่าที่ผู้เขียนผู้มีประสบการณ์น้อยก็เป็นได้
กางเกงในของเธอผู้นั้นมีพื้นสีนวลจางระบายด้วยลายดอกไม้คล้ายดอกไม้ญี่ปุ่นหรือไต้หวัน สีดอกไม้แต่ละดอกกลมกลืนกับสีพื้นกางเกงในของเธอ แต่ว่ากลีบและเกสรของดอกไม้แต่ละดอก จะมีสีเข้มขึ้นเล็กน้อย-นิดเดียว-ไม่เว่อ
เน้นสีอย่างกับไม่ได้เจตนา สร้างสีสันเด่นขึ้นพองาม โดยที่มีดอกไม้ดอกโตกว่าเพื่อน
แปะอยู่ตรงจุดยุทธศาสตร์บนกางเกงในพอดีเป้ะเลย
โต ๆ กันแล้ว ท่านผู้อ่านคงไม่มาบังคับให้ผู้เขียนต้องเขียนละเอียดนะว่า
มันแปะอยู่ตรงไหน?
มันก็แปะอยู่ในตำแหน่งที่ท่านผู้อ่านผู้เจริญ กำลังนึกเดาอยู่ในใจนั่นแหละครับ–เด้ะเลย
นอกจากจะนุ่งกางเกงในขึ้นรถไฟฟ้ากันมาก
หลากหลายสีสัน โดยที่สาวอ้วนจะนุ่งกางเกงในสีดำกันมาก นอกจากนั้นสาวชาวกรุงยังนุ่งกระโปรงสั้น ๆ
ยาวกว่าแฟชั่นกางเกงในเล็กน้อย– สักสองเซ็นติเมตร หรือไม่ถึง กระโปรงสไตล์นี้เป็นเหตุให้ผู้เขียนได้มีบุญตา
กล่าวคือ ทำให้ได้ประสบพบเห็น ด้วยสายตาธรรมดา ประเภทที่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นสายตาชนิด
“ล้วงลูก” หรือ “เจาะลึก”
ที่ระดับถนน ทางขึ้นสถานีรถไฟลอยฟ้าแห่งหนึ่ง เป็นแหล่งขายของสิ่งละอันพันละน้อย
ใกล้บันไดทางขึ้นสถานี สาวหนึ่งนั่งอยู่บนยกพื้น สูงระดับสายตาคนเดิน เวลานั้นผู้เขียนกำลังจะเดินขึ้นหรือว่าเพิ่งจะเดินลงมาจากบนสถานีก็จำไม่ได้แล้ว
มันเบลออ่ะ แต่ว่า--โดยไม่ได้เจตนา
สายตากราดกวาดไปยังยกพื้นที่สาวคนนั้นนั่งอยู่ เธอนุ่งกระโปรงสั้นสีน้ำตาลอ่อน
ใส่เสื้อลายเรียบร้อยพื้นสีขาวนวล เข้ากันได้กับสีกระโปรง
เธอไม่อ้วน ไม่อวบด้วยซ้ำ
แต่ไม่ใช่คนผอมก็แล้วกัน คนหุ่นพอดี ๆ มีเนื้อมีหนัง เรียวขาเปล่าเปลือยของเธอที่ห้อยลงมาจากยกพื้นที่เธอนั่งอยู่นั้น
จึงไม่ใช่ขาหมู แต่เป็นขางาม ๆ คู่หนึ่งของคน เธอกำลังเพลินเพลินกับการสนทนากับเพื่อนเธอนั่งกระดิกเท้าเล็กน้อย เนื่องจากเธอคนสวยนุ่งกระโปรงแฟชั่นสั้น ๆ ผู้เขียนจึงสามารถมองเรียวขา จนเลยหัวเข่าทั้งคู่
ขึ้นไปเห็นต้นขาได้สบาย ๆ โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม หรือโดยไม่ต้องตั้งใจเพ่งพิศแต่ประการใด มันเห็นเองอ่ะ
ต้นขาของเธอปราศจากไขมันส่วนเกิน –surplus
fat จึงกลมกลึงและดูดีใคร ๆ ก็สามารถแลเห็นความดูดีนั้นได้
เพราะเธอไม่ได้นั่งขาชิดกัน แต่นั่งขาแยกกัน
โอ อะไรจะดูดีกว่านี้คงจะมีอยู่หรอก แต่ว่าที่เห็นอยู่นี้ก็ไม่เลวแล้ว
ที่สุดแห่งที่สุดก็คือ ตรงที่สุดของคู่ขาคู่นั้น ผู้เขียน– ผู้ซึ่งบริสุทธิ์ใจ อินโนเซ้นต์และไม่ได้เจตนา
–เหลือบตาแลเข้าไปเห็นกางกางในตัวจริง ที่ไม่ใช่แฟชั่นกางเกงในอย่างที่ได้เห็นบนรถไฟฟ้า
และพบว่า โอ้โฮเบ้อเร่อเลย เธอนุ่งกางเกงในตัวจริงเสียงจริงตัวเบ้อเร่อเลย สีขาวผุดผ่อง.....เบ้อเร่อเลย ตัวเบ้อเร่อเลย
แต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรมากไปกว่านั้น
นับว่าเป็นกางเกงในตัวแรกและตัวเดียว - ที่ได้พบเห็นในทางสาธารณะ ตลอดการเดินทางมากรุงเทพฯครั้งนี้
เรื่องจริงเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ถึงแม้ว่าสตรีสาวชาวกรุงเทพฯจะนุ่งกระโปรงแค่คืบ
แต่พวกเธอก็ประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง ในเวลาที่เธอจะลุกจะนั่ง พวกเธอสมควรได้รับรางวัลกุลสตรียอดเยี่ยมระดับนานาชาติ เพราะผู้เขียนมีโอกาสได้เห็นกางเกงในของพวกเธอ
เพียงตัวเดียวเอง
แต่สตรีที่สมควรได้รับรางวัลชนิด อุแม่เจ้าเห็นอยู่คนหนึ่ง--เธอแต่งตัวมิดชิดที่สุด
นุ่งกระโปรงยาวธรรมดา ไม่ได้นุ่งกระโปรงแค่คืบสไตล์กางเกงในเหมือนคนอื่น ๆ เธออยู่กับที่นั่งตรงข้ามผู้เขียน บนรถไฟลอยฟ้า
ประมาณระหว่างสถานีสุรศักดิ์-ศาลาแดง-ราชดำริ ทันใดนั้น เธอควักชุดเครื่องแต่งหน้าออกจากกระเป๋าสะพายใบโต ไม่ใช่ตลับแป้งฟัฟแบบที่สตรีทั่วไปพกกัน แต่เป็นชุดอุปกรณ์ เธอไม่ได้เพียงฟัฟใบหน้า ทว่าควักอุปกรณ์ทำขนตาให้งอน
ออกมาดัดแผงขนตา ซึ่งคนตาถั่วก็ดูรู้ว่าเป็นของปลอมทั้งแผง เธอควักพู่กันสำหรับวาดเน้นขอบริมฝีปาก ออกมาแต่งริมฝีปาก
ฯลฯ กิริยาแต่งหน้าทั้งหมดนั้น
เธอทำราวกับว่ากำลังอยู่ในห้องแต่งตัว หรือ budoir ส่วนตัวที่บ้าน ทำราวกับว่าตู้โดยสารรถไฟลอยฟ้าทั้งตู้คือ budoir
ส่วนตัวของเธอ
อ้าว.....แล้วเพื่อนผู้โดยสารที่นั่งกันหน้าสลอนและที่ยืนกันอยู่ออกเต็ม
คือ ตัวอะไร?
สังคมฝรั่งเศสโบราณ ท่านผู้รู้เล่ากันว่าพวกไฮโซมีความรู้สึกตัดขาดจากพวกโลโซโดยเด็ดขาด
แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกไฮโซเห็นว่าพวกโลโซเป็นเดรัจฉาน –
มิใช่เช่นนั้น เพราะว่าตามคติความเชื่อของเขายุคกระโน้น
ถือว่าคนทุกคนพระเจ้าก็สร้างมาด้วยกัน เพียงแต่เขาเห็นว่าเรา(โลโซ)เป็นคน
ๆ ละประเภทกันโดยเด็ดขาด ยกตัวอย่างเช่น ในห้องแต่งตัว อาจมีคนรับใช้ผู้ชายปัดกวาดเช็ดถูอยู่ก็ได้ โดยที่ท่านหญิงเจ้าของปราสาทอาจแก้ผ้าต่อหน้าคนรับใช้ผู้ชายได้หน้าตาเฉย
เพราะไม่คิดว่าเขาจะเป็นมนุษย์ประเภทเดียวกับตน เหมือนลิงคนละพันธุ์ ถือว่าต่างคนต่างปราศจากความรู้สึกรู้เสียวหรือสยิวต่อกันและกัน
เหมือนกับที่เราแก้ผ้าเดินโทงอยู่ในห้องต่อหน้าสุนัขของเรา –
ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เป็นประมาณนั้น
สตรีคนที่นั่งแต่งหน้าด้วยอุปกรณ์ครบเครื่องอยู่บนรถบีทีเอส
เธอนึกว่าเพื่อนผู้โดยสารทั้งตู้นั้น
เป็นต้นห้องของเธอรึเปล่า?ทำไมเธอถึงสำคัญตนผิด และมีความคิดแบบฝรั่งเศสโบราณ
ได้ขนาดนั้น?หรือว่าเธอไม่ได้คิดอย่างนั้น-แต่คิดอย่างอื่น อยากรู้จัง-ว่าเธอคิดอย่างไร
การอยากรู้ว่าใครคิดอย่างไร
เป็นธรรมดาของนักเขียน ไม่ใช่เพราะเราสอดเสือก สู่รู้ แต่เพราะว่า นักภาษาศาสตร์ชื่อดังท่านหนึ่ง
ที่ MIT-Massachusette
Institute of Technology
บอกว่า(และผมเชื่อ)ภาษามนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการ “สื่อ” ซึ่งกันและกัน
แต่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดความคิด หรือถ่ายทอดสิ่งที่มนุษย์คิด เพราะฉะนั้น ภาษาจึงทำหน้าที่เพื่อการ “สื่อ”
ที่เลว สู้การสื่อด้วยการยักคิ้วหลิ่วตา หรือการแสดงทางกายอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้น คนที่จะใช้ภาษาเพื่อการ “สื่อ” ให้ได้ดีพอสมควาร
จึงต้องฝึก ต้องเรียน ต้องเพียร และต้องพยายาม
เพราะว่าโดยธรรมชาติ ภาษาไม่ได้กำเนิดมาเพื่อทำหน้าที่ “สื่อ” ดังกล่าวแล้ว
ผู้เขียนลองกวาดสายตามองไปรอบด้าน
อยากรู้ว่าจะมีใครอีกไหมที่ลอบมองเธอ อย่างที่ผู้เขียนกำลังมอง ห่างออกไปสักวาเห็นจะได้ สตรีสาวผู้หนึ่ง
ในวัยใกล้เคียงกับเธอผู้เป็นเจ้าของปราสาทตู้รถไฟลอยฟ้า
สตรีผู้นั้นเป็นผู้โดยสารยืน
เธอยืนมองคนสวยที่กำลังนั่งแต่งตัว
ด้วยใบหน้าบอกความรู้สึก “ไม่ชอบ”(dislike)และ “ไม่เห็นด้วย” (disapproved)
ผู้เขียนสลักสายตาอยู่กับใบหน้าของเธอผู้กำลังยืนมอง
พลางภาวนาว่า ขอให้หันมาสบตากันสักครั้งหนึ่งเถิด
เทพผู้อภิบาลรถไฟลอยฟ้าดลใจ ทำให้เธอผู้ยืนมอง ละสายตาเบือนมาทางผู้เขียน เราสบตากันครั้งหนึ่ง—และอมยิ้มให้กัน
เรารู้กัน ผู้เขียนส่ายหน้าเล็กน้อยส่อว่าไม่เห็นด้วยเหมือนกันนะ
ทำให้อมยิ้มของเธอกลายเป็นอมยิ้มที่ระบายทั่วทั้งใบหน้า
ยืนยันว่าเธอก็ไม่เห็นด้วย
ผู้เขียนแน่ใจว่า
เราจะไม่พบเห็นภาพเช่นนั้นบนรถขนส่งมวลชนในปารีส หรือเม็กซิโก ซิตี หรือวอชิงตัน
ดีซี หรือชิคาโก หรือที่แมดดริด หรือในฮ่องกง
ใหน ๆ ก็ไหน ๆ ไหน ๆ ก็มาแล้ว และไม่ได้รีบร้อนไปไหน ผู้เขียนลงจากรถไฟลอยฟ้าที่สถานีชุมทางสยามสแควร์
เพื่อลงไปเดินเที่ยวสยามสแควร์นึกอยากกินอาหารฝรั่งรสชาติแบบกวางตุ้ง ที่ภัตตาคารไฮไลท์อันเก่าแก่ในสยามสแควร์ พบว่า ร้านหายไปแล้ว
มีป้ายเขียนบอกว่าย้ายขึ้นไปอยู่บนชั้นสามของตึกนั้น ครั้นผู้เขียนเดินขึ้นไปตามที่ป้ายบอก ปรากฏว่ายังไม่มีคนมาทำงาน
ยังเช้าเกินไป มีแต่คนทำความสะอาด
ผู้เขียนถือวิสาสะเดินเข้าไปดูเมนูอาหาร ที่วางอยู่กับโต๊ะตัวหนึ่ง ยังดีที่ได้เห็นเมนูของดั้งเดิมซึ่งเมื่อสองปีก่อนยังได้กิน ไม่ได้ก็ดีเหมือนกันที่ไม่ต้องเสียเงินและไม่ต้องเติมไขมันเข้ามาในร่างกาย
จึงเดินแก้เกี้ยว แก้ความที่ผิดหวัง
ด้วยการเร่เข้าไปในล็อบบี โรงแรมโนโวเทล สั่งกาแฟร้อนมากินแก้วหนึ่ง ชื่นใจกับรสชาติที่เหมือน หรือคล้ายมาก กับกาแฟที่กินตามริมถนนในปารีสแตกต่างจากสารพัดรสกาแฟสด
ที่พบตามปั้มน้ำมันทางภาคใต้
ขณะนั้นเวลาประมาณสิบโมงเช้า.....บนยกพื้นสำหรับนักดนตรีในล็อบบีโรงแรมยังร้างว่างเปล่า เมื่อก่อนเคยมาฟังคุณสายสุนีย์(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น
นภาดา) นักร้องดังผู้หนึ่ง ร้องเพลง ครั้งหนึ่ง-ตามมารยาทของนักร้องที่จะทักทายแฟน ๆ
พอหอมปากหอมคอ เธอร้องถามผู้เขียน ลงมาจากบนยกพื้นเวทีว่า “.....เป็นนักวิจัย หรือคะ”–
ดูเด่ะ บ้านักร้องขนาดไหน ตั้งนานแล้ว ยังจำได้เลย
และหลังจากครั้งนั้นแล้ว
ก็ไม่กล้าไปนั่งเจ๋ออยู่แถวหน้า ๆ อีก...
พี่ชายผู้เขียนมันบ้านักร้องกว่าผู้เขียน
แต่นั่นแหละเราฟังเพลงคนละรสนิยมกัน
ยกเว้นเพลงลูกทุ่ง ซึ่งเราต่างก็ฟังกันมาจากบ้านสมัยเด็ก ๆ ที่รสนิยมเหลื่อมซ้ำกันอยู่
เพลงลูกทุ่งที่มันชอบ ผู้เขียนฟังได้ และเพลงที่ผู้เขียนชอบ มันก็ชอบ น้องสาวก็ชอบเพลงลูกทุ่งหลายเพลง เช่น
เพลงมนตร์รักลูกทุ่ง มันก็ชอบและร้องได้ ทั้ง ๆ ที่ร้องยาก ต่อมากรมทางฯตัดถนนผ่านชนบทใกล้บ้าน
น้องสาวมันก็เลยมีผัวไปตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบดี
วิศวกรสร้างทางซึ่งเป็นคนเมืองเพชร มาขอไป
ตอนที่เขาส่งเถ้าแก่มาขอ มันหนีขึ้นไปอยู่บนปลายหว้า(ปลายกิ่งต้นหว้า) ต่อมาผัวมันก็เอาไปส่งเรียน
จนภายหลังก็ได้ทำงานมีหน้ามีตา.....อยู่ไม่ไกลจากชายทะเลแห่งหนึ่งเราทุกคน –
เรารักที่จะมีชีวิตอยู่ไม่ไกลจากชายทะเลเกินไป
ถ้าอยู่ที่ปารีส เราก็จะคิดถึงแต่ บูโลนญ์-ซูร์-แมร์
โนโวเทลนี่ เขาหากินกับตลาดท่องเที่ยวในเมืองไทยได้เจริญรุ่งเรือง
มากรุงเทพฯเที่ยวนี้ก็ได้เห็นโนโวเทลแห่งใหม่ที่ปากซอยร่วมฤดี
ด้านถนนเพลินจิต บริษัทนี้ “เป็นแปลก”
คือเขามีประธานกรรมการคู่กันสองคน คือ เขามี “co-chairman” หรือตำแหน่ง “ประธานร่วม” อันเป็นตำแหน่งงานที่ผู้เขียนอยากได้
แต่เนื่องจากธุรกิจในเมืองไทยเขามีแต่ตำแหน่ง “ท่านประธานฯ” เพียงคนเดียว เขาไม่มีตำแหน่ง
ประธานร่วม หรือ co-chairmanก็เลยยังไม่รู้ที่จะไปสมัครงานที่ไหน ทั้ง ๆ ที่วิสัยทัศน์สำหรับตำแหน่ง co-chaiman
ผู้เขียนก็ได้เตรียมไว้พร้อมตั้งนานแล้ว—เวรกรรมแท้ ๆ
วันหลังจากวันนั้น--เมื่อมีโอกาสไปนั่งกินกาแฟ
ที่ลอบบีโนโวเทล-ปากซอยร่วมฤดี
ไปถึงที่นั่นเวลายังเช้าอยู่มาก มีธุระแถวนั้นในช่วงเช้า เพราะว่ากลัวรถติดก็เลยออกเดินทางจากที่พักแถวพุทธมณฑลแต่เช้ามืด มานั่งรอเวลาอยู่ที่นั่น ผู้เขียนนั่งอยู่ตั้งนาน
กะจะกินกาแฟสักแก้ว
พนักงานที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มยังทำงานเตรียมเคาน์เตอร์ง่วนอยู่ ผู้เขียนจึงถือโอกาสนั่งทำสมาธิ นะโม-พองหนอ
นะโม-ยุบหนอ สายตากวาดไปทั่วบริเวณให้มีสติรับรู้สิ่งแวดล้อม ตามสไตล์ของ Eckhart
Tolle – สนใจโปรดเคาะชมเขาที่ยูทูบ มีเพียบครับ แล้วพิจารณาออกไปนอกโรงแรมด้านถนนเพลินจิต
บริเวณนั้นเขาทำเป็นที่ขายอาหารและเครื่องดื่มชนิดกลางแจ้งชนิดมีหลังคาคลุม
แม้จะอยู่นอกโรงแรมแต่ก็ต่อเนื่องกับมุมขายเครื่องดื่มของลอบบี
ดุจจะเป็นเทอเรสของโรงแรมที่ยื่นออกไปจากล็อบบีฉะนั้น ผู้เขียนเห็นคนเอเชีย
เดาว่าจะเป็นญี่ปุ่นนั่งอยู่คนสองคน เขาสูบบุหรี่กันทั้งสองคน
เวลาผ่านไปนาน
ผู้เขียนก็ยังไม่มีโอกาสได้กินกาแฟตามที่ตั้งใจ
บัดนั้น หัวหน้างานซึ่งเป็นคนหนุ่มฝรั่ง รูปพรรณสันฐานเดาว่าเป็นฝรั่งเศส
อายุประมาณยี่สิบเศษ เข้ามาเดินตรวจความเรียบร้อยบริเวณลอบบีที่ผู้เขียนนั่งอยู่ เมื่อเข้ามาใกล้—ผู้เขียนก็ยิงคำทักทาย แก้เซ็ง
ไปก่อนเลยว่า
“Bonjour.”
ซึ่งหัวหน้างานผู้นั้นชะงักเล็กน้อย
ก่อนจะตอบกลับทันทีว่า
“Bonjour.”
ถึงแม้ลายลักษณ์อักษรจะเหมือนกันเด้ะ แต่คนฝรั่งเศสเขามีสำเนียงการพูด ที่ทำให้ “บ็องชู” คำแรก กับ “บ็องชู” คำหลัง มีดนตรีคนละคีย์กัน ซึ่งไม่สามารถถ่ายทอดเป็นตัวอักษรได้ แม้ภาษาไทยจะมีเสียงวรรณยุกต์ตั้งห้าเสียงก็ตาม (แต่ภาษาใต้ มีเสียงวรรณยุกต์เจ็ดหรือแปดเสียง)
ภาษาจีนกลาง-พูดทีละคำ ภาษาอังกฤษ-พูดทีละวลี
ภาษาฝรั่งเศส-พูดทีละประโยค ส่วนภาษาสเปน-เขาจะพูดกันทีละพารากราฟ ผู้เขียนได้ตอบกลับทันควันหนึ่งประโยค ว่า
“แต่ว่า
ยังไม่เห็นมีใครมาถามผมเลยว่า ผมจะต้องการดื่มอะไร”
ไม่ต้องรู้ภาษาฝรั่งเศสกันหรอก
แค่รู้ภาษาไทยก็ทราบแล้วว่านี่เป็นการฟ้อง และร้องเรียน ได้ผล--แต่ก่อนที่จะเล็งเห็นผล ต้องเข้าใจจิตวิทยาของคนฝรั่งเศสเสียก่อนนะว่า เขาไม่ชอบให้ใครมาสั่ง หรือใช้ให้เขาทำงาน เขาจึงตอบกลับทันทีว่า
“แล้วผมจะบอกให้เขามาดูแลคุณ”
เท่ากับกำลังพูดให้รู้ว่า
เขาไม่มีหน้าที่รับคำสั่งนะ
ฟ้องหรือร้องเรียนละก็ได้
แต่จะให้เขาถามผมว่าผมต้องการดื่มอะไร เขาจะไม่มีวันถามเด็ดขาด
เว้นจังหวะสองสามวิ(นาที)เขาส่งประโยคประนีประนอม
ประเภทพยายามซ่อมแซมบทสนทนา หรือ repare สถานการณ์
ว่า
“คุณพูดภาษาฝรั่งเศสเก่งมาก”
ซึ่งผู้เขียนก็ยังไม่ยอมให้มีการ repare
สถานการณ์ง่าย ๆ ขนาดนั้น
ไม่ยอมให้ตีกิน ยังอยากมีเรื่องอยู่ ซึ่งก็แสดงด้วยประโยคยิงกลับ ที่ว่า
“คุณก็เช่นเดียวกัน”
Wow, งง! เป็นงง
การแสดงออกบนใบหน้า ที่เป็น non-verbal expression ตามที่ได้ศึกษามาจากรายการเรื่องนี้ในยูทูบ
เข้าตำราเป้ะเลย คือ facial
expression บ่งว่า “เป็นงง”
คนต่างชาติมาชมคนฝรั่งเศสว่า พูดภาษาฝรั่งเศสเก่ง!ทำให้คนฝรั่งเศสเป็นงง-เพราะผิดตำรา เขาจึงรัวคำถามแบบยิงปืนกล ถามผมว่า เคยอยู่ฝรั่งเศสหรือ
ไปเรียนหรือไปทำงาน หรืออย่างไร
ซึ่งผมก็ตอบว่าไปเรียน ที่บอร์โดส์
ที่จริงเคยทำงานแถวนั้นด้วย
แต่เราไม่มีหน้าที่ให้ข้อมูลส่วนตัวครบถ้วนแก่ใคร
คนฝรั่งเศสเขามีความแตกต่างกันตามภูมิภาค--ซึ่งเขาภูมิใจ
ผู้เขียนถามว่า เขามาจากภูมิภาคไหนของฝรั่งเศส
เขาตอบว่า มาจากนอร์มังดี ซึ่งผู้เขียนก็รับทราบแสดงความนับถือชื่นชม นอร์มังดีมีมากกว่าเนยกามังแบร์ ซึ่งหลายคนชอบกิน-รวมทั้งผู้เขียนด้วย
และหาซื้อง่ายตามห้างในเมืองไทย—รวมทั้งที่สุราษฎร์ธานี นอร์มังดีมีความหมายเยอะกว่าการเป็นที่ยกพลขึ้นบกของกองกำลังสัมพันธมิตรระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อเจ็ดสิบปีที่แล้วนี่เอง
–ไม่นานเลย และเป็นมากกว่าแคว้นของ
พระเจ้ากิโยม เลอ ก็อง-เค-ร็อง หรือที่พวกอังกฤษรู้จักในนามของ พระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิต
– วิลเลียม เดอะ ค็องเคอเรอ
ผู้ยกทัพไปยึดครองอังกฤษเมื่อปี 1066 –
ศักราชที่เด็กนักเรียนอังกฤษทุกคนจำขึ้นใจ
และได้ปกครองอังกฤษนับร้อยปี ทิ้งมรดกคำฝรั่งเศสประมาณสองหมื่นคำ
ไว้ในภาษาอังกฤษปัจจุบัน ในฐานะเป็นภาษาของผู้ปกครอง เช่น ศัพท์เกี่ยวกับกฎหมาย
การปกครอง การครัว เป็นต้น
เช่น
พวกไพร่บ้านพลเมืองทั้งหลายซึ่งเป็นคนอังกฤษ จะเลี้ยง “วัว” ภาษาอังกฤษเรียกว่า cow แต่พอกลายเป็นเนื้อวัวพร้อมทำอาหาร
เข้ามาอยู่ในครัวของผู้ปกครอง ก็จะกลายเป็น beef ซึ่งมาจากภาษาฝรั่งเศส
หรือพวกไพร่ทั้งหลายจะเลี้ยงหมู ภาษาอังกฤษเรียกว่า pig แต่พอกลายเป็นเนื้อหมูอยู่ในครัว
ก็จะกลายเป็น pork ซึ่งมาจากภาษาฝรั่งเศส เป็นต้น
จะคล้าย ๆ
กับเมื่อผู้เขียนแรกมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯสมัยยังเด็ก หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ที่บ้านยังเลี้ยงควายไว้ทำนากันอยู่ นาน ๆ
เมื่อมีงานหรือหน้าเทศกาลจึงจะมีการล้มว้วล้มควายมาทำกิน ดังนั้น
ที่กรุงเทพฯเมื่อผู้เขียนกลับจากโรงเรียน ผู้ปกครองที่กรุงเทพฯถามว่า
ไปโรงเรียนวันนี้กินอะไร ผู้เขียนก็ตอบว่า
“แกงควาย”
ซึ่งก็เป็นที่ตลกขบขับสำหรับพวกคนกรุงเทพฯ เขาช่วยแก้ไขให้ว่า ให้พูดว่า
“แกงเนื้อ” ไม่ใช่ “แกงควาย”
ทำให้ผู้เขียนเกิดความรู้สึกว่า
คนกรุงเทพฯนี่เป็นคนแปลก ๆ พูดจาไม่ค่อยจะมีเหตุผลและไม่อยู่กับร่องกับรอย เช่น เอาควายมาแกงแท้
ๆ ไพล่ไปพูดว่า “แกงเนื้อ”
ทำไมไม่บอกมาล่ะว่าแกงเนื้ออะไร แกงควาย ก็พูดมาตรง ๆ เด่ะการพูดจาไม่มีเหตุผลของคนกรุงเทพฯยังมีตัวอย่างอีกเยอะ
เช่น ที่บ้านพูดว่า แกงขี้ปลา -คนกรุงเทพฯบอก แกงไตปลา ที่บ้านพูดว่า ต้มกล้วย–คนกรุงเทพฯบอก
ข้าวต้มมัด ที่บ้านพูดว่า หนมค่อม–คนกรุงเทพฯบอก
ขนมใส่ใส้ ที่บ้านพูดว่า หนมโค–คนกรุงเทพฯบอก
ขนมต้ม ที่บ้านพูดว่า หนมขี้มัน–คนกรุงเทพฯบอกว่า
ขนมส้นตีนอะไรของมึงวะ กูไม่รู้จัก เป็นต้น
เกี่ยวกับเวลาก็เหมือนกัน คนกรุงเทพฯเขานัดว่า
ให้มาแต่เช้ามืด คิดแบบหัวหมอหรือศีรษะแพทย์ ไม่รู้ว่าเขาจะให้มาตอนเช้าหรือตอนค่ำกันแน่ แต่ที่บ้าน--เราจะนัดกันว่า ให้มาแต่หัวรุ่ง–เข้าใจง่ายจะตาย
คือว่าตอนรุ่งสางไง แบบว่ายังไม่แจ้งดีไง คือว่ายังเป็นส่วนหัวของมันไง
สรุปก็แล้วกันว่า
ในที่สุดผู้เขียนก็ได้กินกาแฟรสชาติฝรั่งเศสแก้วที่สองในการเดินทางเข้ากรุงเทพฯเที่ยวนี้
จบตอน 1/3 Another
day of my life in Bangkok, two years later.
--------------------------------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น