ระหว่างการบรรยาย ศ.แซนเดล ได้ฉายสไลด์เป็นลายลักษณ์อักษร
ย้ำความเข้าใจกับนักศึกษาเป็นระยะ
คำถามแรกมีว่า: เสรีภาพกับหน้าที่
จะไปกันได้อย่างไร ?
How
can duty and autonomy go together?
วิสัชนา: การปฏิบัติตามหน้าที่
ก็คือ ปฏิบัติตามหลักศิลธรรมที่เราบังคับเอากับตัวเราเอง ด้วยเหตุนี้ หน้าที่จึงสอดคล้องกับความมีเสรีภาพ เพราะว่าที่จริงแล้ว--ฉันก็เชื่อฟังกฎ ซึ่งฉันบัญญัติขึ้นเอง
ผลตามนั้้นก็คือ ปฏิบัติตามหน้าที่
= ปฏิบัติอย่างเสรี
เสรี--ในความหมายที่ว่า
เป็นการปฏิบัติตาม อัตโน-อนุมัติ ดังแถลงไว้แล้วในตอนก่อน และอาจขยายความต่อไปได้ว่า
อัตโน-อนุมัติ ก็คือ การปกครองตนเอง-การบริหารตัวเอง--ไม่ได้มีใครมาบังคับขับไส
เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย เพราะฉะนั้น การปฏิบัติตามหน้าที่
กับ การปฏิบัติอย่างเสรี จึงเป็นเรื่องเดียวกันแท้ ๆ เลยพี่--ถ้าจะว่ากันตามข้อปรัชญาของ
คานท์
คำถามที่สองมีว่า: หลักศิลธรรม จะไม่มีมากมายหลายหลัก
ละหรือ ?
How
many moral laws are there?
วิสัชนา: การแสวงหาคำตอบให้กับคำถามข้อที่สองนี้ ทำให้เกิดคำถามซ้อนขึ้นมาว่า ก็ในเมื่อแต่ละคนต่างก็ปฏิบัติตนตาม
อัตโน-อนุมัติ ซึ่งมีคุณค่าเชิงศิลธรรมแฝงอยู่
ฉะนี้แล้ว จะมีอะไรมา ประกัน ได้ว่า
ความสำนึกเรื่องสิ่งที่ถูกที่ควรอันพึงทำของข้าพเจ้า จะตรงกับความสำนึกของท่าน? หลักศิลธรรมของฉัน จะตรงกับหลัีกศิลธรรมของท่าน
ได้อย่างไร? --ในเมื่อเราต่างคนต่างก็ อัตโน-อนุมัติ
คานท์ วิเคราะห์ประเด็นนี้ว่า สิ่งที่จะมาประกันว่าคนในสังคมจะสำนึกตรงกัน
ก็คือ “ความมีเหตุผลของคนเรา”
นักศึกษาหญิงผู้หนึ่งลุกขึ้นมาอภิปรายว่า สิ่งที่สั่งให้เราเลือกที่จะปฏิบัติตน
อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเสรี (หรืออย่างอัตโน-อนุมัติ)
ไม่มีกิเลสปรุงแต่งจากอายตนะเข้ามาเกี่ยวข้องคอยบังคับ สิ่งนั้นก็คือการที่เราต่างคนต่างก็คิดเอาเองตาม
เหตุผลบริสุทธิ์ --แล้วจึงปฏิบัติ ซึ่งในที่สุดทุกคนก็จะคิดด้วยเหตุผลบริสุทธิ์เหตุผลเดียวกัน เพราะเหตุผลบริสุทธิ์มีอยู่เพียงหนึ่งเดียว ไม่ใช่เหตุุผลใครเหตุผลมัน จึงเป็นไปได้ว่าคนจำนวนมากจะเลือกกฎศิลธรรมอย่างเดียวกัน เพราะว่าเหตุผลบริสุทธิ์มันจะ transcend
-- คือว่ามันอยู่เหนือ อยู่เลยโพ้น อยู่ในต่างมิติ กับความรู้สึกอันแตกต่างกันของนานามนุษย์ เหตุผลบริสุทธิ์อยู่ต่างมิติกับความรู้และประสบการณ์อันแตกต่างกันของมนุษย์ทั้งหลาย
คำถามสุดท้าย คือ:
ถ้าแม้นว่า เรายอมรับข้อหนึ่งและข้อสองไว้แล้ว แต่...
กฎสมบูรณ์ จะมีได้ด้วยหรือ หลักศิลธรรม จะเกิดมีขึ้นมาได้ อย่างไร
(กฎสมบูรณ์
ก็คือ หลักศิลธรรมของคานท์ ซึ่งบางท่านเรียก ย่อว่า CI =categorical imperative)
How
is a categorical imperative possible?
How
is morality possible?
วิสัชนา: เอ็มมานูเอล คานท์ บอกว่า จะตอบคำถามข้อสุดท้ายนี้ได้ เราต้องรู้จักแยก จักรวาลสองจักรวาล ออกจากกัน ซึ่งจักรวาลทั้งสอง ต่างก็ล้วนเป็นปริมณฑลแห่งการรับรู้โลกของตัวเราเอง
ด้วยกันทั้งสองจักรวาล
ในจักรวาลแรก เราเป็นตัวรองรับประสบการณ์ต่าง ๆ
ที่เกิดจากการรับรู้ของอายตนะ
ในจักรวาลแรกนี้การกระทำทั้งหลายของเรา อยู่ใต้บังคับของกฎธรรมชาติ การกระทำของเราเป็นเหตุเป็นผลของความเป็นธรรมดาธรรมชาติ
เช่น เราเชื่อฟังความหิวกระหาย สยบยอมต่อความรักความใคร่
คล้อยตามความทะยานอยากต่าง ๆ ในจักรวาลแรกนี้ที่จริงเราเป็น “ตัวถูกกระทำ”
ในจักรวาลที่สอง เรามีฐานะ “ตัวกระทำ” เป็นประธานผู้กระทำกิริยาต่าง ๆ
ตามความคิดของตัวเอง ชีวิตภาคส่วนนี้ของเรา คานท์ เห็นว่าธำรงอยู่ในจักรวาลแห่งสติปัญญา
ความสว่างแจ้ง การรู้จักคิดอย่างมีเหตุผล ในจักรวาลที่สองนี้เรามีเสรีภาพ
เพราะเราเป็นอิสระปลอดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย หมายความว่า--กฎธรรมชาติไม่มายุ่มย่าม ก้าวก่าย
เข้ามาถือสิทธิบังคับชีวิตภาคส่วนนี้ของเรา เราเป็นอิสระจากธรรมชาติื ชีวิตในจักรวาลที่สองนี้ เราจะสามารถเข้าถึงความมีเสรีภาพ
มีิอิสระสมบูรณ์ เพราะว่า เราจะประพฤติปฏิบัติตน
ก็เฉพาะตามกฎที่เราวางไว้ให้แก่ตัวเราเอง
และ เฉพาะในจักรวาลที่สองนี้เท่านั้น ที่เราอาจพูดได้ว่า ฉันมีเสรีภาพ ฉันเป็นอิสระ ฉันเป็นไทแก่ตัวจริง ๆ เพราะตามปรัชญาของ คานท์ การเป็นอิสระหลุดพ้นจากใต้บังคับของโลกที่รับรู้ด้วยอายตนะเท่านั้น
ที่ทำให้มนุษย์มีเสรี
“When we think of ourselves as free, we transfer ourselves
into the intelligible world as
members and recognize the autonomy of the will.” --Immanuel Kant
ข้อความนี้ ปรากฏฉายอยู่ในวีดีโอ ที่เวลาประมาณ 07:23
แต่ถ้าหากว่า เราเป็นเพียงตัวตนทางกายภาพ(คือมนุษย์มีแต่กาย)
เป็นก้อนเลือดก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง ที่อาจนำมาชั่งตวงวัดได้-เพียงเท่านี้เท่านั้น-ที่
“เป็นเรา” ตามที่ปรัชญาประโยชน์นิยมเข้าใจและยึดถือกัน ความเป็นไปของเลือดเนื้อก้อนนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่ากิเลสตัณหา
ความใคร่ความอยากความมักมาก จะชักนำบงการ
ถ้ามนุษยชนคือ เพียงเท่านี้ มนุษย์ทั้งหลายย่อมไร้ขีดความสามารถที่จะเข้าถึง
เสรีภาพ คานท์ว่าอย่างนั้น
ทำไมหรือ?
ก็เพราะว่า หากการณ์เป็นเช่นนั้น การแสดงออกซึ่งเจตนาทั้งหลายทั้งปวงของเรา ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ใต้บังคับของความอยากและกิเลสตัณหาทั้งหลาย การที่เราเลือกจะปฏิบัติการใด ๆ ก็ดี ล้วนแต่เลือกกระทำ เพราะกิเลสตัณหามาชักนำบังคับให้ทำ
แต่ ช้าก่อน-อย่าเพิ่งเข้าใจผิด สถานการณ์ตรงข้ามกับกิเลสตัณหานำทาง
ไม่ได้แปลว่าหมดกิเลสตัณหา คนละปรัชญากัน-นะพี่ สำหรับ คานท์ การประพฤติปฏิบัติที่ตรงข้ามกับกิเลสบงการ
ก็คือปฏิบัติโดยที่มี เหตุผล ชักนำ (ไม่ใช่ ธรรมมะ หรือ ศรัทธาในศาสนา มาชักนำ
หรือ พระเจ้า หรือ องค์อัลเลาะห์ มาบงการ
เว้นเสียแต่ว่า ธรรมมะ ศรัทธาศาสนา หรือพระเจ้า หรือองค์อัลเลาะห์ แปลว่า “เหตุผล”)
เมื่อคิดตาม คานท์ มาถึงขั้นนี้ ปมที่อาจเป็นประเด็นอยู่ก็คือ การมนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกพร้อม
ๆ กันทั้งสองจักรวาล กลายเป็นว่าเราเป็นพวกทวิภพ
เราอยู่ทั้งในจักรวาลที่หนึ่ง--ซึ่งมีกิเลสตัณหาชักนำ ในขณะเวลาเดียวกันนั้น เราก็มีชีวิตอยู่ในจักรวาลที่สอง--ที่ปกครองด้วยเหตุผล
เพราะฉะนั้น การต้องมีชีวิตทวิภาคเช่นนี้ เราจึงมักจะพบกับช่องว่าง--อันถ่างอยู่--ระหว่างสิ่งที่เรา“ได้กระทำลงไปแล้ว” กับสิ่งที่เรา “น่าที่จะควรได้กระทำ” เสมอ
ซึ่ง คานท์ สรุปพื้นฐานปรัชญาศิลธรรมของเขาว่า
ศิลธรรมไม่อาจรับรู้ได้ด้วยอายตนะ(not empirical)
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นในโลกและรับรู้ด้วยอายตนะ รวมทั้งการค้นพบหรือข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถนำมาตัดสินปัญหาศิลธรรมได้ ศิลธรรมอยู่นอกโลก-หมายถึงโพ้นจากโลกที่เรารับรู้ได้ด้วยอายตนะ ด้วยเหตุนี้ วิทยาศาสตร์หรือศาสตร์ทั้งหลาย
จึงไม่อาจนำสัจธรรมมาตีแผ่แสดง ให้แจ้งแก่เราได้้เลย
แต่ เดี๋ยวก่อนครับ-ท่านผู้อ่านบทสรุปภาษาไทยของข้าพเจ้า “อายตนะของฝรั่ง” กับของไทยต่างกัน ฝรั่งมีห้าอายตนะ “ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย”(เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส) แต่ “อายตนะไทย” มี “ใจ” เติมเข้า่มาเป็นอายตนะที่หก(ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ)
ดังนั้น อายตนะที่ คานท์ พูดถึงจึงหมายถึง อายตนะแบบฝรั่ง—และผู้เขียนสรุปภาษาไทยเห็นว่า
ก็เพราะว่าไม่มีใครชี้ประเด็นความแตกต่างตรงนี้ จึงอาจทำให้ผู้ศึกษา คานท์ บางท่านในประเทศไทย
ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด งงกับคานท์ พากันเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่—เดี๋ยวก็เสือกัดตายหมดหรอก
ศาสนาอิสลามในประเทศไทยหรืออาจรวมถึงในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดด้วย-ผู้เขียนขออนุญาตตีกรอบตัวเอง-ครูมุสลิมของผู้เขียนท่านบอกว่า
จิตใจคนก็สำคัญ เวลาไม่สบายนอนป่วยอยู่
มุสลิมก็สามารถใช้จิตใจนึกทำละหมาดอยู่ในใจก็ได้ ท่านไม่ว่า
เอ็มมานูเอล
คานต์ วางทฤษฎีศิลธรรมไว้เข้มงวด ปิดโอกาสที่จะให้มีข้อยกเว้น
โดยคานต์ เห็นว่าการกล่าวเท็จ แม้จะเป็นเพียงการพูดปดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน
ก็ถือว่าผิดกฎศิลธรรม(หรือผิด CI=the categorical
imperative)
เมื่อบรรยายมาถึงใจความสำคัญข้อนี้ ศ.แซนเดล ก็ทดสอบนักศึกษาฮาร์วาร์ดของท่าน
ด้วยข้อสอบที่ยากที่สุด ซึ่งลอกมาจาก คานท์ โดยตรง
สมมติว่า ถ้าเพื่อนเรา ซ่อนอยู่ในบ้านของเรา แล้วอาชญากรผู้หมายหัวจะฆ่าเพื่อน
มาเคาะ ประตูบ้าน
ถามเราว่า เพื่อนเราคนนั้นอยู่ในบ้านหรือไม่ สถานการณ์เช่นนี้ ถ้า เราพูดปดปฏิเสธกับฆาตกร ว่าเพื่อนไม่ได้อยู่ในบ้าน
เราจะผิดศิลธรรมหรือไม่
ศ.แซนเดล อ้างความเห็นนักปรัชญาฝรั่งเศส
เบนจาแม็ง ก็งสตังต์ ว่าการพูดความจริงในกรณีเช่นนี้นั้น--บัดซบที่สุด ผิดชัด ๆ
จะถูกไปไม่ได้เลย เพราะว่า
อาชญากร/ฆาตกรไม่ใช่ผู้ที่สมควรจะได้รับความจริงจากเรา
แต่ว่า กรณีตามอุทาหรณ์ การกล่าวเท็จแม้เพื่อป้องกันชีวิตเพื่อน
ก็ยังผิดกฎศิลธรรมอันเคร่งครัดของคานต์ แต่...ถ้าเรายกข้อความที่เป็นความจริงขึ้นมาพูด
ทว่าเป็นความจริงชนิดที่มีคุณสมบัติลวงฆาตกรได้
การกระทำดังกล่าวของเรา จะยังมีคุณค่าเชิงศิลธรรม(=ถูก/ผิด
ศิลธรรม)อย่างไร หรือไม่
ศ.แซนเดล
กำลังแยกให้นักศึกษาเห็นความแตกต่างระหว่าง การตอแหลตรง ๆ กับ การพูดความจริงที่ชวนให้เข้าใจผิด (an
outright lie กับ a misleading truth)
ลงท้ายการอภิปราย ด้วยการฉายวีดีโอคลิป
ให้นักศึกษาชมตัวอย่างการกล่าวถ้อยคำ เลี่ยงการพูดปด อันเป็นกรณีโด่งดังเมื่อไม่นานมานี้ คือ กรณีที่ประธานาธิบดี
คลินตัน พูดถึงสัมพันธ์สวาท กับนางสาวโมนิกา ลิววินสกี
ในที่สุด ศ.แซนเดล ก็วิสัชนาว่า: การพูดความจริงชนิดที่มีคุณสมบัติเลี่ยงการพูดปด แต่สามารถลวงฆาตกรได้ ก็ยังมีคุณค่าทางศิลธรรมอยู่
ทั้งนี้เพราะว่า การพูดความจริงชนิดนี้
อย่างน้อยที่สุด ก็ยังให้ความเคารพต่อ “หน้าที่” ซึ่งหมายความว่า ยังเคารพต่อกฎศิลธรรม(-โปรดกลับไปอ่าน คำถามแรกที่ว่า: เสรีภาพกับหน้าที่ จะเข้ากันได้อย่างไร)
และการพูดความจริงที่ชวนให้เข้าใจผิด ยังต่างกับการตอแหลตรง ๆ
ซึ่งไม่แสดงความเคารพต่อหลักการอะไรเลย
---------------------------------------------------------------------------------
จบ--สรุปภาษาไทย Episode 07 part 1 เรียนรู้เกี่ยวกับการตอแหล
ชมต้นฉบับวิดิทัศน์--และชมบรรยากาศการเรียนการสอน
ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
สำหรับตอน 07 เชิญตามลิงก์ครับ
http://www.youtube.com/watch?v=KqzW0eHzDSQ