ตอน ๒ ปราณ...ลมแห่งชีวิต
ก็เพราะเธอคือลมหายใจ
เธอคือทุกสิ่ง
จะให้ทิ้งอะไร ก็ยอมทุกอย่าง
จากเพลง “ลมหายใจ”
ศิลปิน - บอย
โกสิยพงษ์
ตามคัมภีร์พระเวท
ลมปราณ
หรือลมแห่งชีวิตเป็นเรื่องใหญ่
ซึ่งในที่นี้
ผู้เขียนไม่อาจที่จะเอื้อม กล่าวถึงได้โดยสมบูรณ์
เพียงแต่จะจับเรื่องของ
“ปราณ” ในฐานะลมหายใจของคนเท่าที่ค้นคว้าได้
มาเรียบเรียง
แบ่งปัน กับท่านผู้อ่าน
ลมหายใจเป็นเรื่องสำคัญ
ที่เรา—คนสมัยใหม่ทุกคน
จะต้องคิดอ่านแก้ไขปรับปรุง
เพื่อตนเอง
ทั้งนี้
ก็ด้วยเหตุผลเล็ก ๆ ที่ใครเลยจะปฏิเสธได้ ว่า
ไม่มีใคร จะหายใจแทนเราได้.....
การรู้จักที่จะจัดการเรื่อง
ปราณ เขียนด้วยอักขระเทวะนาครี
ว่า प्राण ทำได้ไม่ยากนัก การรู้จักหายใจเพื่อวัตถุประสงค์ด้านสุขภาพกายและใจ เพื่อการเล่นกีฬา เพื่อการร้องเพลง เพื่อการพักผ่อน เพื่อคลายเครียด
เป็นทักษะชนิดหนึ่งที่จะเกิดได้ก็ด้วยการฝึกฝน
การรู้จักหายใจ
เพื่อให้เกิดสติ เป็น “ทักษะ” มิใช่เป็น “ความรู้”
เราใช้ความเพียรเพียงเล็กน้อย
ด้วยการหายใจอย่างมีสติ แต่ผลของความเพียรเล็กน้อยนั้น
จะช่วยประคองชีวิตส่วนตนให้ดีขึ้นสุดจะประมาณ
จนในที่สุดแล้ว ก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ๆ ผู้ที่เรายังห่วงใยผูกพัน กล่าวคือ
ตัวเราจะได้ไม่ต้องเป็นภาระแก่เขาเกินไป
และยังจะเป็นตัวอย่างให้คนใกล้เคียงได้ด้วย ถือได้ว่าเป็นการลงทุนลงแรงส่วนบุคคล ที่คุ้มค่าในศตวรรษที่
21 นี้
ถ้าจะเปรียบว่า
น้ำทั้งมวล อยู่ในเมฆในฝน
เป็นละอองอยู่ในอากาศ
เป็นห้วงมหานทีในพระสมุทร์
ไหลอยู่ในแม่น้ำลำคลอง
และตามสายน้ำแร่ใต้ดิน
แฝงอยู่กับสรรพสิ่งทั้งหลาย
“ปราณ” ที่เรากล่าวถึงนี้ ก็จะได้แก่น้ำแก้วที่เรากำลังจะดื่ม
หรือน้ำแร่ขวดที่เราเหน็บไว้กับเป้ ระหว่างเดินทาง
ว่ากันตามครรลอง
โบราณศรัทธาแล้ว
ปราณ ก็คือ ส่วนหนึ่งของพลังจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลพ้นประมาณ
ที่อยู่ในรูปลมหายใจเล็ก
ๆ ของเราท่านทั้งหลาย ผู้เป็นเจ้าของชีวิต
สิ้นแล้วลมปราณ สำนวนพูดนี้มีความหมายตรงตัวว่า ตายแล้ว จะยังมีโวหารใดชี้ความสำคัญของ ปราณ(प्राण) ยิ่งไปกว่าคำพูดประโยคเล็ก ๆ ประโยคนี้อีกเล่า?
ลมหายใจ ในแง่วิทยาศาสตร์
ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ และในหลักสูตรโรงเรียนแพทย์ทั่วโลก วิชา General Cardiovascular/Respiratory มีเนื้อหาส่วนหนึ่ง
เกี่ยวข้องกับการหายใจ วิชานี้จะเป็นวิชาหลักวิชาหนึ่งของหลักสูตรปีแรก
ๆ แต่เรื่องนี้ก็จะเป็นเรื่องวิชาการเกินไปสำหรับเราท่านทั้งหลาย เกินขีดความสามารถของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ อย่างไรก็ดีผู้เรียบเรียงจะเสนอเรื่อง ลมหายใจ
อย่างวิทยาศาสตร์ ด้วยการป้ายพู่กันอย่างหยาบ
ๆ ไปบนผืนผ้าใบ(broad strokes) เพียงเท่าที่เราท่านทั้งหลายน่าจะรู้และสังวรไว้บ้าง เพื่อปูพื้นไปสู่การฝึกฝนปฏิบัติการหายใจตามแบบของเรา โดยเรา เพื่อเรา และของเรา
นั่นนะซี
การหายใจโดยเรา หายใจเพื่อเรา และการหายใจของเรา
ลมหายใจ เป็นเนื้อหาสำคัญของระบบการหายใจ(respiratory system)ที่มีศูนย์กลางอยู่ในทรวงอก อันได้แก่ ปอดทั้งสองข้าง ระบบนี้เริ่มมาจากส่วนหัวของคน คือ เริ่มมาจากจมูกและปากผ่านทางลำคอลงสู่ปอด ซึ่งอยู่ในกล่องกระดูกซี่โครงหรือทรวงอก เพื่อความชัดเจน เราจะแบ่งการพิจารณาทั้งตัวระบบการหายใจและภาคการแสดงผลของระบบการหายใจ
ออกเป็นสองนัยยะ คือ นัยยะของเนื้อตัวร่างกาย กับ นัยยะของจิตใจ
ทั้งนี้โดยจะเสนอการพิจารณาเชิงวิทยาศาสตร์ทั้งสองนัยยะ
เชื้อเพลิงที่จะมาก่อพลังงานให้ร่างกายได้ใช้สอย เราได้มาจากอาหารที่รับประทาน โดยที่เซลส์ทั้งหลายในกายคน จะนำเคมีธาตุต่าง ๆ ในอาหารออกมาใช้ กระบวนการนี้ก่อให้เกิดพลังงานก็จริง
แต่ขณะเดียวกันก็เกิดของเสีย เป็นน้ำและก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ กระบวนการซึมซับสารอาหารของเซลส์ มีชื่อเรียกกันทางวิทยาศาสตร์ว่า
“metabolism”
ซึ่งต้องการอ็อกซิเจนมาร่วมปฏิบัติการด้วย
เมื่อเราหายใจเข้าไปในปอด อ็อกซิเจนจะถูกดูดซึมเข้าไปในเลือด ขณะเดียวกันคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในเลือด ก็จะถูกถ่ายเทออกจากเลือดไว้ในปอด--เพื่อการหายใจออกทิ้ง เลือดใหม่รุ่มรวยด้วยอ็อกซิเจน จะเวียนไปยังหัวใจ เพื่อปั้มส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อนำไปใช้ในการกระบวนการ “metabolism” ต่อไป โปรดพิจารณาภาพระบบการหายใจของคน
ศัพท์ภาษาอังกฤษ: diaphragm = กระบังลม
นอกจากปอดแล้ว อวัยวะสำคัญของระบบการหายใจได้แก่ กระบังลม
หรือที่ภาษาอังกฤษในภาพเรียกว่า diaphragm
ดังที่เขียนระบุไว้ตอนล่าง
ในภาพด้านซ้ายมือของท่านผู้อ่าน คำว่า “ได-อะ-แฟรม”
นี้ผู้เขียนหัดสะกดอักขระตั้งหลายครั้งกว่าจะจำได้และเขียนถูก เพราะนอกจากจะมีตัวพยัญชนะ p-h-r ควบกันอยู่ทั้งสามตัวแล้ว
ยังมีตัวสะกดซ้อนตัวสะกด g-m อีกสองตัวอีกต่างหาก
กระบังลม หรือ “ไดอะแฟรม” เป็นกล้ามเนื้อที่รองรับปอดเอาไว้
อยู่ในทรวงอกส่วนล่างก่อนถึงช่องท้อง(ดังในภาพ) จะถือว่า ไดอะแฟรม คืออวัยวะภายในที่แบ่งส่วนทรวงอกออกจากส่วนช่องท้องก็ได้ กล้ามเนื้อกระบังลมมีรูปร่างคล้ายฝาชียอดป้าน ที่ครอบอยู่บนช่องท้อง ทำหน้าที่หลักในการหายใจเพราะมีปอดตั้งอยู่ข้างบน ไม่ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการย่อยอาหาร กล่าวคือ
กระบังลมช่วยดึงลมจากภายนอกเข้ามาในปอด
และช่วยขับดันลมจากปอดกลับออกไปภายนอก
ถ้าเทียบกับรถจักรยาน กระบังลมคือเครื่องสูบลม ส่วนปอดคือล้อรถอันเป็นภาชนะที่รองรับลม
กระบังลมจึงมีความสำคัญต่อระบบการหายใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปอดเลย ท่านผู้รู้ทางวิทยาศาสตร์แนะนำว่า ถ้าเราจะพูดถึงเรื่องลมเข้าลมออก(ยุบหนอพองหนอ)เพียงประเด็นเดียว
ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบังลมจะสำคัญกว่าความเข้าใจเรื่องปอดด้วยซ้ำ เพราะว่าลม เข้า-ออก ได้ด้วยกระบังลม ไม่ใช่ เข้า-ออก ได้เพราะปอด
ทางกลของกระบังลม เป็นอย่างไร?
ในด้าน
mechanics
หรือทางกลนั้น
แหล่งที่ใช้ค้นคว้าเพื่อเขียนหนังสือเล่มนี้บางแหล่งระบุว่า คนหลายคน (ซึ่งในความเป็นจริงก็จะรวมทั้งตัวผู้เขียนเองด้วย)
ยังไม่เข้าใจการทำงานของกระบังลม
คิดว่าการหายใจเข้าหายใจออกเป็นการยุบตัวพองตัวของปอด ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด
เพราะว่ากระบังลมต่างหากที่ทำให้ลมเข้าและลมออกจากร่างกายมนุษย์ โดยมีลักษณะการทำงานในทางกล ดังได้ค้นคว้ามาเรียบเรียงเสนอท่านผู้อ่าน
ดังต่อไปนี้
เมื่อกล้ามเนื้อกระบังลมแบนลง และเคลื่อนตัวลงไปทางช่องท้องเล็กน้อย ประมาณ 1 เซ็นติเมตรเท่านั้นไม่ได้มากมายอะไร จะทำให้ปอดขยายตัว และขณะเดียวกันท้องก็ป่องขึ้น ดึงลมจากภายนอกเข้ามา เป็นการ หายใจเข้า
เมื่อกล้ามเนื้อกระบังลมเลิกแบนและเคลื่อนตัวขึ้นมาในทรวงอกเล็กน้อยประมาณ
1 เซ็นติเมตร
จะทำให้ปอดแฟบลง(และขณะเดียวกันท้องก็ยุบลงด้วย) บีบลมออกไป
เป็นการ หายใจออก
กล้ามเนื้อกระบังลม เป็นกล้ามเนื้อไม่กี่อย่างในกายคนที่สามารถทำหน้าที่ได้สองระบบ คือ ทำงานระบบอัตโนมัติ ทำโดยที่คนเราไม่รู้ตัวก็ได้ เช่น
เวลาที่เรากำลังนอนหลับ กระบังลมก็ยังทำงานเพื่อการหายใจเข้าออกได้ หรือเมื่อเราตื่นอยู่ เรานึกอยากจะบังคับให้มันทำงานก็ได้ เช่น
เวลานักร้องจะเป็นคุณบอย โกสิยพงษ์
หรือนักร้องในอดีตเช่น คุณทูล
ทองใจ หรือคุณลูซิอาโน ปาวาร็อตติ(Luciano Pavarotti)กำลังซ้อมเสียง หรือกำลังร้องเพลงอันไพเราะ
ท่านเหล่านั้นก็สามารถที่จะบังคับการทำงานของกระบังลมได้ เป็นต้น หรือแม้ขณะที่โยคีหรือผู้กำลังฝึกลมปราณ โยคีหรือผู้กำหนดลมหายใจนั้น ก็สามารถบังคับการทำงานของกระบังลมได้อีกเหมือนกัน หรือแม้กระทั่งเวลาที่นักกีฬาโอลิมปิคหรือนักกีฬาอาชีพอย่าง ไทเกอร์ วูด
กำลังฝึกซ้อม
ครูฝึกสมัยใหม่บางคนในประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ ท่านก็จะให้นักกีฬาฝึกซ้อมการหายใจลึก ด้วยการบังคับกระบังลมด้วย
แต่ยังไม่มีใครแต่งเพลงเกี่ยวกับ
mechanics
หรือการกระทำเชิงกลของกระบังลมให้ศิลปินขับร้อง! เพราะว่าคงจะแต่งเพลงให้โรแมนติคได้ยาก หรือท่านผู้อ่านจะลองคิดแต่งดูเล่น ๆ ?
ก็เพราะอวิชชา ในเรื่องวิทยาศาสตร์
ว่าแล้วมั๊ยล่ะ ก็ด้วยอวิชชาเชิงวิทยาศาสตร์ ทั้ง ๆ ที่เราท่านทั้งหลายก็เคยเรียนฟิสิคส์กับชีววิทยากันมาแล้วมากบ้างน้อยบ้าง ผู้คนจำนวนมากผู้ขึ้นชื่อว่ามีการศึกษา ใช่ว่าจะเป็นจับกังหรือ slumdogs ด้อยการศึกษา กลับพากันหายใจตื้น
ๆ กับปอดส่วนบนเท่านั้น ไม่ได้หายใจลึกลงไปยังปอดส่วนกลาง หรือลึกถึงปอดส่วนล่าง ที่วางอยู่บนกระบังลมนั้นเลย
กายวิภาคของมนุษย์เมื่อถูกนำมาใช้ในการหายใจ
ขาเข้า แบ่งออกได้สามภาคคือ
ภาคที่หนึ่ง
ปฏิบัติการเชิงกลของกระบังลมซึ่งจะเคลื่อนที่ลง
ทำให้ช่องท้องขยายตัว(พุงป่อง)
ดึงลมลงสู่ ปอดส่วนล่าง
ภาคที่สอง
ปฏิบัติขยายตัวของกล้ามเนื้อระหว่างกระดูกซี่โครง(intercostals muscles) ดึงลมเข้าสู่ ปอดส่วนกลาง
ภาคที่สาม ปฏิบัติการยกตัวขึ้นของกระดูกไหปลาร้า(collar bones) ดึงลมเข้าสู่ ปอดส่วนบน
|
ที่มา -- https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiiodXSbiWIr-fcIMX_iMS41XQvu0GuuOp0hux3y094V54pIbBYUqFfd59wEhnJdaM_uVR2Z8jJXT9Gs43Aqq5_PnzC7SGQMz3PtY3AmT2wsP73jM0_woTEBpEW3LDXnEdDFEdaAR8Jk9Y/s1600/DSCN9304.JPG
ก็เพราะอวิชชาในเรื่องวิทยาศาสตร์...เราจึงหายใจไม่เต็มปอด หรือที่พูดกันว่า หายใจไม่ทั่วท้อง
คนทั่วไปในเวลาปกติ จะหายใจตื้น ๆ แค่ปอดส่วนบน
จะหายใจลึกก็เฉพาะเวลากลุ้มใจแล้วถอนหายใจออกมาเท่านั้น การ หายใจไม่ทั่วท้อง เป็นสำนวนโวหาร ส่วนการ หายใจไม่เต็มปอด
เป็นข้อความจริงทางวิทยาศาสตร์ การได้หายใจเต็มปอด หรือพูดตามสำนวนว่าหายใจทั่วท้อง จะก่อให้เกิดคุณประโยชน์ เชิงวิทยาศาสตร์ แก่ร่างกายเรา
อย่างไรบ้าง?
คุณประโยชน์ประการที่
1. เปิดโอกาสให้ร่างกายได้กำจัดของเสียในรูปก๊าซและไอน้ำ ซึ่งเกิดจากกระบวนการ metabolism หรือการซึมซับธาตุอาหารของเซลส์
ก๊าซเสียที่เกิดขึ้นคือคาร์บอนไดอ็อกไซด์กับไอน้ำ จะถูกการหายใจขาออก ขับออกไปเสียจากร่างกาย
คุณประโยชน์ประการที่
2. การหายใจเต็มปอดจะลำเลียงอ็อกซิเจนป้อนให้แก่เซลส์ทั้งหลายในกายคนได้อย่างพอเพียง เพราะว่า
การที่เซลส์มีอ็อกซิเจนใช้ไม่เพียงพอนั้น
ทำให้กระบวนการ metabolism หรือการซึมซับสกัดธาตุอาหารเป็นไปไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ธาตุอาหารก็ดี
แร่ธาตุที่จำเป็นก็ดี
ตลอดจนวิตามินต่าง ๆ ก็จะสูญเปล่าไปมาก
ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่สมประโยชน์
แล้ว
ด้านจิตใจ ล่ะ?
การหายใจทั่วท้อง(หายใจเต็มปอด)หรือหายใจลึก(deep breathing) ประกอบคุณงามความดีอะไรบ้าง แก่จิตใจคนเรา?
1.
ช่วยให้มีสมาธิดีขึ้น จิตใจแจ่มใส
คิดอ่านได้อย่างกระจ่างสว่างแจ้ง
2.
เผชิญหน้ากับปัญหา หรือปมปริศนาที่ซับซ้อน ได้อย่างสุขุมคัมภีรภาพ ไม่เกิดโรคเครียดจัด
หรือออกอาการประสาทรับประทานและเส้นเสียเป็นอาจิณ
3.
มีบูรณาการด้านอารมณ์ ไม่วูบวาบวู่วาม ไม่ปากไว
ปากกับใจมีดุลภาพ
รู้จักยับยั้งชั่งใจได้ดีขึ้น อนึ่ง ใจสามารถประวิงการทำงานของปากเอาไว้ได้
4.
จิตใจควบคุมการทำงานของร่างกายได้ดีขึ้น สั่งการประสานงานอวัยวะต่าง ๆ
ได้อย่างสอดคล้องต้องกัน เช่น เมื่อปากยิ้มตาก็จะยิ้มด้วย ไม่ใช่ยิ้มแต่ปาก ส่วนตาค้างแข็งทื่อคล้ายผีกระสือ เป็นต้น
พิลึกไปเปล่า ไม่พูดถึงปอดมั่งเลย?
ในการหายใจเข้าและหายใจออกนั้น กล่าวอย่างตวัดพู่กันแบบหยาบ ๆ (broad
strokes)แล้ว จะเห็นได้ว่าปอดทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำตั้งอยู่เฉย
ๆ ไม่ได้ออกแรงช่วยในการดึงลมเข้าหรือขับดันลมออก
แต่กล้ามเนื้อกระบังลมก็ดี
กล้ามเนื้อชายโครง และกล้ามเนื้อระหว่างซี่โครงก็ดี การยกตัวของกระดูกไหปลาร้าก็ดี เหล่านี้ต่างหากที่คอยช่วย ยก
ดึง ดัน บีบ และยืดขยายปอด ทำให้ลมถูกขับออกจากปอด หรือลมถูกสูบเข้ามาในปอด
อ้าว...แล้วจริง ๆ แล้วปอดทำหน้าที่อะไร? หน้าที่หลักของปอดเกี่ยวกับระบบหายใจก็คือ เป็นที่สำหรับแลกเปลี่ยนก๊าซดี(อ็อกซิเจน)กับก๊าซเสีย(คาร์บอนไดอ็อกไซด์) ทั้งนี้โดยที่เวลาเราหายใจเข้าอากาศที่เข้าไปในปอดนั้น กล่าวโดยคร่าว ๆ จะประกอบด้วยไนโตรเจนราว 78%
อ็อกซิเจนราว 21% ที่เหลือเป็นก๊าซอื่น ๆ
อ็อกซิเจนจะถูกสกัดผ่านผนังถุงลมเล็ก ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนในปอดเข้าไปสู่เลือด ส่วนก๊าซเสียก็จะออกจากเลือดเข้ามาในปอด และหายใจออกทิ้งไป
สรุป – กิริยาหายใจเข้า หายใจออก
สำหรับมนุษย์ผู้มีโครงสร้างอวัยวะเป็นปกติ
กิริยาหายใจเข้า การหายใจเข้า ตามปกติ
นั้นถูกกำกับการแสดงโดยการเคลื่อนไหวของกระบังลม
เมื่อกระบังลมแบนลงพร้อมกับเลื่อนตัวลงไปทางช่องท้อง(เพียงเล็กน้อยประมาณ 1
เซนติเมตรเศษ) ทำให้ท้องป่อง กระบังลมดึงอากาศจากภายนอกเข้าปอด
กิริยาหายใจออก
กระบังลมสปริงตัวกลับที่เดิม ตามปกติ
นั้นไม่ต้องไปบังคับอะไรเลย
กระบังลมสปริงตัวกลับเองและลมจะถูกขับออกมาเอง
ซึ่งนอกจากลมเสียจะถูกขับออกมาแล้วยังมีไอน้ำออกมาด้วย เพราะฉะนั้น
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกร้องเพลง หรือฝึกโยคะของโยคี และฝึกทักษะการหายใจของนักปฏิบัติการผ่อนลมทั้งหลาย ให้จำไว้เลยว่า การหายใจออกคือหัวใจ
ท่านผู้อ่านคงไม่เคยได้ยินนักร้องท่านใด เปล่งเสียงอันไพเราะของท่านในช่วงหายใจเข้า ใช่เปล่าครับ?
ท่านทำเสียงไพเราะเสนาะโสตกันเฉพาะตอนลมขาออกเท่านั้นเพราะฉะนั้น การรู้จักที่จะบังคับลมขาออกให้ได้ดังใจปรารถนา จึงเป็นหัวใจของการขับร้อง ทำนองเดียวกันสำหรับโยคีที่ฝึกหายใจมาดีถึงขั้นสูงแล้ว ท่านเล่ากันว่าโยคีตนนั้น จะสามารถผ่อนลมหายใจออกมาได้ แม้นำขนนกไปวางใต้จมูก ขนนกก็จะไม่กระดิก
ส่วนเราท่านทั้งหลายผู้ประสงค์จะฝึกทักษะการผ่อนลมหายใจเพื่อชีวิตที่ดีกว่าเดิม โปรดสังเกตว่า
อาการคลายเครียดก็ดี
อาการผ่อนคลายก็ดี
อาการสุขสบายก็ดี
เกิดในช่วงเวลาที่ลมหายใจออกจากร่างกายเรา
ไม่เชื่อลองทำดูเดี๋ยวนี้เลย
หายใจเข้าลึก ๆ แล้วกลั้นไว้ชั่วขณะ
ก่อนที่จะปล่อยลมออกมา พลางทำเสียงว่า
“ฮ่า...” (สบายมั๊ยล่ะ?)
กิริยาเดียวกันมีหลายชื่อ
เมื่อเราหายใจลึกดึงลมเข้าปอดส่วนลึกที่สุด แทนที่จะหายใจตื้น ๆ กับปอดส่วนบน
ทั้งนี้โดยที่เราใช้กระบังลมช่วยหายใจอย่างเต็มที่ แทนที่จะหายใจด้วยการขยายซี่โครงอย่างเดียว การหายใจแบบนี้มีหลายชื่อ เช่น หายใจด้วยกระบังลม(Diaphragmatic breathing) หายใจด้วยกล้ามหน้าท้อง(abdominal breathing)
หายใจด้วยท้อง(belly breathing) หรือหายใจลึก(deep breathing)
ภาคลงมือทำ
สำหรับ บทลมหายใจ เชิงวิทยาศาสตร์
สมมติว่าท่านเป็นผู้มีโครงสร้างอวัยวะและร่างกายเป็นปกติ ขอให้ท่านฝึกหายใจ
เชิงวิทยาศาสตร์ ดังนี้
1. นอนหงายราบกับพื้น นอนแบบสบาย ๆ
บนแผ่นรองออกกำลังกาย(exercise mat)
หรือแผ่นรองฝึกโยคะ หรือแผ่นรองออกกำลังกาย
หรือบนเสื่อธรรมดา
หรือบนกระดานพื้นบ้าน ทั้งนี้โดยที่ท่านไม่เกร็งเนื้อตัวส่วนใด ปล่อยตัวตามสบายจริง ๆ
2. วางฝ่ามือขวาลงบนหน้าท้อง ระหว่างสะดือกับชายโครง (หรือจะใช้มือซ้ายก็ได้)
3. วางฝ่ามือซ้ายบนหน้าอก ใต้กระดูกไหปลาร้า (หรือจะใช้มือขวาก็ได้)
4. หายใจออก
โดยที่ครั้งแรกนี้อาจเกร็งกล้ามหน้าท้องช่วยดึงกระบังลมลงมา เพื่อขับลมออกจากปอดให้หมด หลังจากนั้นให้หายใจตามธรรมดาธรรมชาติ
อย่าเกร็งกล้ามเนื้อส่วนใดมาช่วยหายใจเป็นอันขาด
5. ให้นึกถึงภาพเด็กทารกที่กำลังนอนหงายหลับอยู่ และทารกนั้นจะหายใจระรวยช้า ๆ
เมื่อนึกเห็นภาพทารกดังกล่าวได้ชัดเจนดีแล้ว ก็ให้หายใจเลียนแบบเด็กทารกนั้นต่อไป โดยไม่คิดอะไร
6. ต่อมา เริ่มใช้สติเข้าจับ รับรู้กิริยาหายใจของตัวเอง ทั้งนี้โดย ไม่เพ่ง
สติมากเกินไปจนเกิดอาการเครียด และไปเกร็งกล้ามเนื้อในระบบการหายใจ(respiratory system
muscles)
ให้ใช้สติเข้าจับพอให้รู้สึกตัว ว่าเวลาหายใจเข้า ท้องจะป่องออก
ดันฝ่ามือข้างที่วางอยู่ระหว่างสะดือกับชายโครงให้ขยับน้อย ๆ
ลอยสูงขึ้น
และเวลาหายใจออกฝ่ามือนั้นก็จะลดลงมา
เพียงเล็กน้อยเช่นเดียวกัน (เวลานี้เราไม่สนใจฝ่ามือที่วางใต้ไหปลาร้า)
7. โปรดระลึกทราบอีกครั้งหนึ่งว่า ประเด็น 1- 6 นั้น เป็นวิทยาศาสตร์ที่ประจักษ์ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเข้าห้องแลบปฏิบัติการ และไม่จำเป็นจะต้องอ้างอิงคัมภีร์ของศาสนาใด
8.
การยุบการพองเล็กน้อยของหน้าท้อง ที่ท่านรับรู้ได้จากการขยับขึ้นลงของฝ่ามือข้างที่วางอยู่ระหว่างสะดือกับชายโครงนั้น
ลักษณะการหายใจตามปกติธรรมดาเป็นธรรมชาติในท่านี้เมื่อท่านหายใจหลาย ๆ
ครั้งเข้า จะสอนให้ท่านประจักษ์เองว่า
เวลาหายใจเข้ากระบังลมอันเป็นกล้ามเนื้อที่เรามองไม่เห็น อยู่เหนือช่องท้องและอยู่ใต้ปอด มัน เลื่อนลง
(เลื่อนเพียงเล็กน้อยประมาณ 1
เซนติเมตร )ทำให้ท้องป่อง
ส่วนเวลาเราหายใจออกกล้ามเนื้อกระบังลมนี้โดยที่ไม่ต้องออกแรง มันสปริงตัวกลับเอง คือ เลื่อนตัวกลับขึ้นบน(เพียงเล็กน้อยประมาณ
1 เซนติเมตร ) ถ้ารับรู้ประเด็นนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ซีเรียสนักหรอก
9. ทำไปเรื่อย ๆ
จะรู้สึกสบายเนื้อสบายตัว
สบายกายสบายใจ
ทำนานเท่าใดก็ได้จนกว่าจะเบื่อและเลิกไปเอง แต่จะให้ดีควรกำหนดเวลาฝึกฝน เช่น
สามนาที ห้านาที หรือนานกว่านั้นตามอัธยาศัย
10. ฝึกทักษะการหายใจของนักปฏิบัติการผ่อนลมทั้งหลาย ให้จำไว้เลยว่า การหายใจออกคือหัวใจ
ท่านผู้อ่านคงไม่เคยได้ยินนักร้องท่านใด
เปล่งเสียงอันไพเราะของท่านในช่วงหายใจเข้า ใช่เปล่าครับ?
ท่านทำเสียงไพเราะเสนาะโสตกันเฉพาะตอนลมขาออกเท่านั้น เพราะฉะนั้น การรู้จักที่จะบังคับลมขาออกให้ได้ดังใจปรารถนา
จึงเป็นหัวใจของการขับร้อง
ทำนองเดียวกันสำหรับโยคีที่ฝึกหายใจมาดีถึงขั้นสูงแล้ว ท่านเล่ากันว่าโยคีตนนั้น จะสามารถผ่อน ลมหายใจออก มาได้ แม้นำขนนกไปวางใต้จมูก ขนนกก็จะไม่กระดิก
จบ ตอน2
โพสต์ เมื่อ วันที่ 2 ตุลาคม 2557
ตอน 1 โอมมม.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น