ไหนโม้ว่าเคยเรียนที่ ซอร์บอนน์? ทำไม ทักษะภาษาฝรั่งเศส ถึงได้อุบาทว์อัปรีย์ขนาดนี้
จดหมายเปิดผนึกฉบับที่สอง ถึงทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย
เกี่ยวกับ จรัล ดิษฐาอภิชัย
His Excellency:
I
would like to express my gratitude to France in accepting my fellow countryman,
Mr. Jaran Dithapichai, to live in the country. I respect the integrity of
France in dealing with human rights issue. I acknowledged and am respectful of “La
Déclaration des droits de l'homme et du citoyen de 1789” and “La Déclaration
universelle des droits de l'homme, ONU.”
ผมขอแสดงความสำนึกขอบคุณประเทศฝรั่งเศส
ที่ได้ให้ที่พักพิงแก่เพื่อนร่วมประเทศ คุณจรัล ดิษฐาอภิชัย ผมเคารพต่อความรอบคอบ ในการปฏิบัติต่อประเด็นสิทธิมนุษยชน
ของทางการฝรั่งเศส ผมรับทราบและเคารพโดยสมบูรณ์ ต่อคำประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง
อันกำเนิดขึ้นระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส และคำประกาศสากลสิทธิมนุษยชน
ขององค์การสหประชาชาติ
Never
that my critique of Mr.Jaran Dithapichai questioned human rights principles,
which I also hold dear to my heart. I simply would like to ask a banal
grassroots question that is, “Is he the right man for the job?”
ดังนั้น
ในการวิจารณ์คุณจรัล ดิษฐาอภิชัย จึงจะไม่มีเลย ที่จะตั้งคำถามเอากับสิทธิมนุษยชน
ซึ่งผมเองก็ยึดถือสุดหัวใจ ผมเพียงแต่จะขอตั้งคำถามสามัญธรรมดา ระดับรากหญ้า
แค่ว่า “คนนี้ใช่แล้วหรือ?”
However
I do recognize that,
“La liberte est le droit de
faire tout
Ce que les lois permettent.”
-Montesquieu
อย่างไรก็ดี
ผมก็ตระหนักดี ตามคำของปราชญ์ฝรั่งเศส ม็งเตสกิเออ ที่ว่า
“เสรีภาพ
ได้แก่ สิทธิที่จะทำทุกอย่าง
ที่กฎหมายอนุญาตไว้”
-ม็งเตสกิเออ
J’accuse
Mr.Jaran Dithapichai not of having done anything wrong or illegal, but of being
unkind as follows: first, his reference to Mr. Pridi Panomyong, and second to
Che Guevara; third his unkind disrespect for the French language, and fourth
his unkind insult to the international internet audience.
ผมกล่าวหาคุณจรัล
ดิษฐาอภิชัย ไม่ใช่ว่าเขาได้ทำอะไรผิด หรือกระทำการขัดต่อกฎหมาย แต่ว่าจะกล่าวหาว่า
เขาไม่มีเมตตาจิต ดังกรณีที่เขาเอ่ยอ้าง
ท่านรัฐบุรุษอาวุโสและอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายปรีดี พนมยงค์
และกรณีที่เขาเอ่ยอ้าง เช กัววารา ตลอดจน การที่เขาไม่ให้ความเคารพต่อภาษาฝรั่งเศส
และเขาดูหมิ่นชาวอินเตอเนตนานาชาติทั้งมวล
1) The unkind reference to Mr. Pridi Panomyong
Mr.
Jaran Dithapichai proudly announced to the journalist of Prachathai web
journal, an internet media close to Red Shirts movement and to former Prime
Minister Taksin Shinawatra, http://prachatai.com/journal/2015/06/59650 “ชีวิตผู้ลี้ภัยการเมืองไทยในต่างแดน: จรัล ดิษฐาอภิชัย”, that he
had been granted refugee status in France after having filled out application
documents and having been interviewed, in November 2014. He claimed that he was
the second Thai citizen being accepted as such by the French, after Mr. Pridi
Panomyong.
นายจรัล
ดิษฐาอภิชัย ได้ประกาศแก่ผู้สื่อข่าวประชาไท
อันเป็นสื่ออินเตอร์เนตที่ใกล้ชิดกับขบวนการเสื้อแดง และฯพณฯ อดีตนายกรัฐมนตรี
ทักษิณ ชินวัตร ว่าเขาได้รับสถานะผู้ลี้ภัยในประเทศฝรั่งเศส
หลังจากที่ได้กรอกแบบฟอร์มเอกสารต่าง ๆ และผ่านการสัมภาษณ์ ในเดือนพฤศจิกายน
2014
เขาอ้างว่าเขาเป็นคนไทยคนที่สองที่ได้รับสถานะนี้ คนแรกคือ นายปรีดี
พนมยงค์
Mr.
Pridi Panomyong was a prominent politician and stateman in recent Thai history,
educated in France, used to serve as Prime Minister, stateman, and Regent. He
had been the leading intellectual in the revolution that changed Thailand’s
political regime from absolute monarchy to a constitutional one, which in a way
had fortified the monarchy when compared to Ayuthya period. He was the founder
of Thammasat University, one of the leading universities in Thailand today. On
the international scene, he had successfully renegociated unfair treaties
imposed upon Thailand by foreign powers.
ฯพณฯ
ปรีดี พนมยงค์ เป็นนักการเมืองคนสำคัญ และรัฐบุรุษ
ในประวัติศาสตร์ไทยระยะใกล้
ท่านเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบุรุษ และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ท่านเป็นปัญญาชนผู้นำในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
มาเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งมองให้ลึกซึ้งจะพบว่า
เป็นการปรับปรุงสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ทันสมัย และสร้างเสริมความมั่นคงสถาพรต่อสถาบัน
ถ้าเทียบกับประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาเป็นราชธานี
ท่านเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งในประเทศไทยปัจจุบัน บทบาทด้านนานาชาติของท่าน
ซึ่งเป็นประโยชน์มากต่อประเทศไทย ได้แก่การที่ท่านบรรลุผลสำเร็จ
ในการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เป็นธรรม ซึ่งชาติมหาอำนาจทำไว้กับสยามในอดีต
If
Mr. Pridi Panomyong were Napoleon, Mr. Jaran Dithapichai would be a corporal at
best, if not a toilet cleaner. If Mr. Pridi Panomyong were a Rajput, Mr. Jaran
Dithapichai would be an untouchable, the lowest of Hindu caste.
ถ้า
ปรีดี พยมยงค์ เป็นนะโปเลียน จรัล
ดิษฐาอภิชัย เป็นได้แค่ทหารเลวเป็นอย่างมาก หากไม่ใช้คนล้างส้วม ถ้า ปรีดี พนมยงค์ เป็นคนราชปุต จรัล
ดิษฐาอภิชัย จะเป็นคนวรรณะจัณฑาล ในศาสนาฮินดู
Birth
order may mean something, but the order invoked by Mr. Jaran
Dithapichai was meaningless and ridiculous. So why did he bother to talk about
it at all? At most only a couple of Laontians who squatted to listen to him at
the Rev movement political rally would consider the order awesome. Lesser
beings like the rest of the world would think it was a stupid comparison.
ลำดับการถือกำเนิดอาจมีความสำคัญอยู่บ้าง แต่ลำดับการอ้างอิงที่ คุณจรัล ดิษฐาอภิชัย กล่าวถึงนั้น
ปราศจากความหมาย และไร้สาระ ฉะนั้นแล้ว
เหตุใดเขาจึงอุตส่าห์ยกขึ้นมาอ้าง? อย่างมากที่สุดก็จะมีคนลาวสองสามคน
ที่นั่งฟังเขาพูด ในระหว่างการเคลื่อนไหวทางการเมือง ของคนเสื้อแดง
ที่อาจจะเห็นว่าลำดับดังกล่าว มีความหมาย
แต่สัตว์ผู้ต่ำต้อยอย่างเราท่าน คงจะคิดเพียงว่า ช่างเป็นการยกขึ้นมาเทียบเคียงที่บัดซบ
จัญไรเสียนี่กระไร
In
our tradition as well as in many other traditions, we do not pull a prominent
person down to our mundane existence, or to our outer circle. On the contrary,
we do not stamp on their heads or
shoulders so that we would be elevated, or moved into the inner circle.
ตามจารีตประเพณีของเรา
และของที่อื่น ๆ อีกมากมายหลายแห่ง
เราจะไม่กระชากฉุดผู้ใหญ่ลงมาต่ำต้อยเพียงดินเท่าเรา
หรือออกมาอยู่วงนอกอย่างเรา และในทางกลับกัน
เราก็จะไม่กระโดดโลดขึ้นไปเหยียบศีรษะท่าน หรือเหยียบบ่าท่าน
เพื่อยกระดับตัวเราเองให้แลดูสูงส่ง หรือกลายเป็นคนวงในกับเขาผู้หนึ่ง
Jaran
Dithapichai, who are you?
จรัล
ดิษฐาอภิชัย แกเป็นใคร?
The
reason that I had raised the issue was not purely political because when I was living
in Bangkok years ago, a relative of mine had introduced me to one dear good
person whom I had come to respect like an elder sister. She had taught me how
to appreciate western music. She also steadfastly defended the reputation of
Mr. Pridi Panomyong. Her name was Dusdee Panomyong.
การที่ผมยกประเด็นนี้ขึ้นมากล่าว
ไม่ได้เป็นเรื่องการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้เพราะว่า เมื่อผมอยู่อาศัยในกรุงเทพฯเมื่อหลายปีก่อน ญาติผู้หนึ่งได้แนะนำให้ผมได้รู้จักกับท่านผู้เป็นที่เคารพรักดุจครูและพี่สาว
ผู้แนะนำให้ผมรู้จักชื่นชมกับดนตรีตะวันตก
แถมเธอยังเป็นผู้ปกป้องความเป็นคนดีของท่านรัฐบุรุษ ปรีดี พนมยงค์
อย่างเข้มงวด เธอมีนามว่า ดุษฎี พนมยงค์
2) Le Goût du colossal(or, la folie des
grandeurs): an unkind parody of Che Guevara
รสนิยมบ้าใหญ่บ้าโต: เอ่ยอ้างลอกเลียน เช กัววารา อย่างไร้เมตตา
In
order that Mr. Ambassador would not miss anything, I had opted for a whole
translation of the fourth paragraph, counting from below, where Mr. Jaran Dithapichai
had expressed freely his revolutionary philosophy that seemed to be revealing,
as follows:
เพื่อที่ท่านทูต จะได้ไม่พลาดเนื้อความใด ๆ
ผมจึงเลือกที่จะแปลย่อหน้าที่สี่ นับจากด้านล่าง ทั้งย่อหน้า ซึ่งคุณจรัล
ดิษฐาอภิชัย ได้เผยให้เห็นปรัชญาชีวิตของเขา อย่างน่าสนใจ ดังนี้:
I
asked Mr. Jaran Dithapichai why he seemed to be happy in this time of exile. Mr.
Jaran Dithepichai explained that the had dedicated his life to the Revolution. He
said,
“For
a fighter, happiness depends on having opportunity to fight and on having a
chance to do something that would benefit others. Happiness does not come from
material possession or consumption, but from having the possibility to
struggle. If he could win he would be even happier”.
Mr.
Jaran Dithapichai recalled the time when he was in the bush, with Communist
Party of Thailand, where comrade fellow students in the bush often asked him
what he would do after the struggle was over. Comrade Chai, the pseudonym or
non de guerre Mr. Jaran Dithapichai had adopted while joining the Communist
Party of Thailand, then, at the age of early thirty, answered, “I will go on to
do revolution in other countries.”….. – End of translation.
ฉันถามจรัลว่า ทำไมเขาถึงดูมีความสุขในยามลี้ภัยเช่นนี้ จรัลว่า
ก็เพราะเขาอุทิศชีวิตให้กับการปฏิวัติไปแล้ว “ความสุขของนักต่อสู้ อยู่ที่ได้ต่อสู้
ที่ได้ทำประโชน์เพื่อคนอื่น ไม่ได้มาจาก วัตถุ หรือการบริโภค
หากอยู่ที่การได้ต่อสู้ ยิ่งถ้าต่อสู้สำเร็จชนะ ยิ่งมีความสุข” จรัลว่า ตอนอยู่ป่า พวกสหายนักศึกษาชอบถามว่า หลังต่อสู้เสร็จ
"สหายชัยจะไปทำอะไรต่อ" สหายชัยในวัย 30 ต้นๆ
ตอบว่า “ผมก็จะไปปฏิวัติประเทศอื่นต่อ”…..สิ้นสุดคำคัด
Critique/พิจารณ์:
Early
on in the paragraph, “comrade Chai”, sounds familiar?, told the reporter of Prachathai web journal
that he was happy because he had dedicated his life to the Revolution. He
further added that happiness came from doing things that benefited others, not
from material accumulation or consumption.
ตอนต้นย่อหน้า สหายชัย กล่าวกับผู้สื่อข่าวประชาไทว่า
เขามีความสุข เพราะเขาได้อุทิศชีวิตให้แก่การปฏิวัติ สหายชัยยังได้เพิ่มเติมอีกว่า
ความสุขของเขาเกิดจากการได้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อคนอื่น ๆ
ไม่ใช่เกิดจากการสะสมวัตถุสิ่งของ หรือการอุปโภคบริโภค
Oh
my Gad! I mean Mr. Gad Elmaleh – French contemporary standup artist, how cheesy
was comrade Chai’s philosophy of happiness. In learning about his high ideal I
almost vomited. Sir, I did not know, je jure sur la tête de ma mere, please
pardon my French, which devil had held me back from throwing up.
โอ แก้ด ของฉัน! ผมหมายถึง
นายแก้ด เอลมาเลห์ ศิลปินเดี่ยวไมโครโฟนฝรั่งเศสปัจจุบัน คำพูดสะเพร่า ๆ เพ้อ ๆ ของสหายชัย
ที่บรรยายปรัชญาแห่งความสุขของเขา ครั้นผมได้รู้อุดมคติอันสูงส่งนั้น
ผมมีความรู้สึกเกือบจะอาเจียน ท่านทูตครับ
ผมไม่ทราบว่า ขอสาบานต่อศีรษะมารดา โปรดอภัยภาษาฝรั่งเศสของผม ผมไม่ทราบว่ามีมารตนใดมายั้งไว้ไม่ให้อ้วกแตก
In
comrade Chai’s f*cking selfish sh*tty life what had he altruistically done for
others? Had not he bebaved like a leech all along? For what good was a life of
a leech? During his late teen comrade Chai had bunked with an American young
man for a year, and leeched on to the guy. Friends with benefits?
ตลอดชีวิตอันเห็นแก่ตัวอย่างโง่เขลา ดุจอุจจาระ ของสหายชัย
เขาได้ทำอะไรบ้างเพื่อผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทน? เขามิได้ประพฤติดุจจะตัวทากมาตลอดชีวิตหรือ? ชีวิตของทากตัวหนึ่งมีประโยชน์อะไร?
ในช่วงปลายวัยรุ่น
สหายชัยอาศัยอยู่กับหนุ่มอเมริกันผู้หนึ่ง การเกาะสูบอยู่กับบุคคลผู้นั้นเป็นไปตามสำนวนอเมริกันว่า
“friends
with benefits”(เพื่อนกินอยู่และหลับนอน) หรือเปล่า?
Mr.
Ambassador, sir, I had not written “lick or suck” I simply wrote “leech on to”.
Nevertheless, not a bit that I tried to be impolite, only that I had gone the extra
mile to prove my sincere adherence to liberty of expression and freedom of
speech. As the ancient had taught, “And whosoever shall compel thee to go a
mile, go with him twain.”
ท่านทูตครับ ผมไม่ได้เขียนว่า “เลีย หรือ ดูด”
ผมเขียนแค่ว่า “เป็นตัวทาก”
แล้วผมก็ไม่ได้มีเจตนาไม่สุภาพ เพียงแต่ว่า ผมได้เดินทางให้ไกลขึ้นอีกหนึ่งไมล์
เพื่อพิสูจน์ว่า ผมยึดถือและคล้อยตาม เสรีภาพในการแสดงออกและอิสรภาพในการพูด
อย่างจริงใจ สมตามคำโบราณที่ว่า “And whosoever shall compel thee to go
a mile, go with him twain.”
An
intriguing question should also be asked: when you lived with the American guy
in your late teen, you still used your original Chinese name, “Seng-Huat”. I
know some Chinese, enough to appreciate that “Seng-Huat” was a beautifully
sounded and auspicious Chinese name. For what reason that you, comrade Chai,
had abandoned such an awesome “apellido”?
ถึงจุดนี้ มีคำถามที่น่าพิศวงอยู่หนึ่งคำถาม
อยากจะถามสหายชัยว่า ตอนที่อยู่หรืออยู่กินกับชายชาวอเมริกันในวัยรุ่นนั้น สหายชัยยังคงใช้ชื่อจีนดั้งเดิมว่า
“เซ่งฮวด” เนื่องจากผมรู้ภาษาจีนสองสามคำ
แต่มากพอที่จะทราบว่าคำว่า เซ่งฮวด เป็นคำจีนที่มีเสียงไพเราะและมีความหมายดีมีมงคล
ท่านจรัล – สหายชัย มีเหตุผลอะไรหรือ จึงได้ละทิ้งชื่อสกุลที่ดีพิเศษปานนั้นเสีย?
Usually,
generosity starts in one’s own family. What had you, comrade Chai, done for the
benefit of your own son who has lived in France up till now? Did you ever for
once helped him in any way or by any means? Years ago, luckily for your still young
child that your ex-wife had found new husband in France.
ปกติ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เริ่มกันจากเครือญาติ
สหายชัยได้แสดงความเอื้อเฟื้ออะไรบ้าง ต่อบุตรชายสมัยเขายังเด็ก
และอยู่ในฝรั่งเศสมาโดยตลอด? ไม่ว่าในทางใด ท่านจรัล ได้ช่วยเหลืออะไรเขาบ้าง? นานปีมาแล้ว
เมื่อเขายังเด็ก บุตรชายของคุณโชคดีนะ เพราะอดีตภรรยาของคุณได้สามีใหม่ในฝรั่งเศส
Ernesto
Che Guevara had been parodied by Mr. Jaran Dithapichai, or comrade Chai, towards
the end of the paragraph. Although the name of “Che” was not refered to in the
written interview of Prachathai journal, his name could be heard in the
video interview, as shown below. Mr. Jaran Dithapichai evoked the
important figure in modern history’s revolutionary struggle, “Che”, who had
gone from country to country in Latin America doing revolution. All those countries spoke Spanish. Once Che went to Africa, he failed.
เอินเนสโต เช กัววารา ถูกลอกเลียนจาก จรัล ดิษฐาอภิชัย
หรือสหายชัย ในตอนท้ายย่อหน้า ถึงแม้ว่าชื่อ เช
จะไม่ปรากฏในข้อเขียนของสื่อประชาไท แต่ชื่อของ เช มีอยู่ในวีดีโอสัมภาษณ์
ดังนำลิงก์วีดีโอ มาใส่ไว้ด้านล่างนี้ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย เอ่ยอ้างบุคคลสำคัญในประวัติการปฏิวัติสมัยใหม่ นามว่า "เช" ผู้เดินทางจากประเทศหนึ่ง ไปยังอีกประเทศหนึ่ง เพื่อทำการปฏิวัติ ทุกประเทศที่เขาเดินทางไป ต่างล้วนพูดภาษาสเปน ครั้นเขาเดินทางไปอัฟริกา เขาก็ประสบความล้มเหลว
But
you, Mr. Jaran Dithapichai, what language did you speak well enough to rally
grassroots people of the countries? Even today you do not speak comprehensible
French. I will prove my point right after this. T’inquietes pas, my
conclusion follows premises.
แต่ว่า คุณ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย คุณพูดภาษาอะไรได้ดี ถึงขนาดจะใช้ภาษานั้นปลุกระดมมวลชนรากหญ้าได้บ้าง?
แม้กระทั่งทุกวันนี้ คุณก็พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้
แล้วผมจะพิสูจน์ประเด็นนี้ในลำดับถัดไป ไม่ต้องห่วงหรอก ข้อสรุปของผม
ตามมาจากข้ออ้าง
Che
Guevara had written a manual, once used by many revolutionary fighters. Its
original Spanish name was “La Guerra de guerrillas”. With le goût du
colossal, it had been impossible for the “petit” comrade Chai not to
have mentioned comrade “Che”, sounds familiar?
เช กัววารา ได้เขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่ง
เพื่อการปฏิวัติด้วยการติดอาวุธ นักต่อสู้ติดอาวุธจำนวนมากทั่วโลก ได้ใช้เป็นคู่มือ ต้นฉบับดั้งเดิมภาษาสเปนชื่อว่า “La
Guerra de guerrillas” (อ่านว่า “ลา แกร่า เด แกริยาส”) ด้วยความบ้าใหญ่บ้าโต จึงเป็นไปไม่ได้ที่ สหายชัย
“กระจอก” จะไม่เอ่ยอ้าง สหาย “เช” ผู้ยิ่งใหญ่ (ชื่อคุ้น ๆ ?)
However,
I would like to propose to Mr. French ambassador to arrange a little “contrôle”(test),
using my own head as the stake. If the “contrôle” result showed that comrade
Chai, Mr. Jaran Dithapichai, knew about “La Guerra de guerrillas” in its
original Spanish version, published in Cuba, and scored better than me I would
let my head be chopped off at the Place de la Révolution, now Place
de la Concorde, where the guillotine used to stand during the French
Revolution. On the contrary, if Mr. Jaran Dithapichai did not know f*cking shit
about “La Guerra de guerrillas” in its original Spanish version published in
Cuba, he must let me stab him to death with this traditional Thai sword, as
shown below, on
which had been embedded with curse mantras performed by a well-known guru in
Langsuan district, Chumphon province.
|
อย่างไรก็ตาม ผมขอเสนอต่อท่านทูตฝรั่งเศสว่า
ขอให้ท่านทำการทดสอบ โดยผมจะใช้ศีรษะเป็นเดิมพัน ถ้าผลการทดสอบพบว่า สหายชัย นายจรัล ดิษฐาอภิชัย
รู้เรื่องในหนังสือ “ลา แกร่า เด แกริย้าส” ในต้นฉบับดั้งเดิมภาษาสเปน
พิมพ์ที่ประเทศคิวบา ได้คะแนนดีกว่าผม ผมยอมให้ตัดหัวผม ที่จัตุรัสแห่งการปฏิวัติ
กลางกรุงปารีส ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น จัตุรัสแห่งความสมานฉันท์ ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งเครื่องกิโยติน
ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส ในทางกลับกัน
ถ้า “สหายชัย”(ชื่อคุ้น ๆ) ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวส้นตีนอะไร ในหนังสือต้นฉบับภาษาสเปน
พิมพ์ในคิวบา ของ “สหายเช” หรือไม่ได้รู้ดีกว่าผม
เขาจะต้องยินยอมให้ผมแทงเขาให้ตาย
ด้วยดาบไทยเล่มที่เห็นในภาพ ซึ่งครูไสย แห่งศาสตร์มืด ที่มีชื่อเสียงในอำเภอหลังสวน
จังหวัดชุมพร ได้ทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณกรมหลวงฯ ผีป่าเจ้าเขา เขาปู่เขาย่า มาปลุกเสกลงอาคมไว้เรียบร้อยแล้ว
If
unluckily Mr. Jaran Dithapichai had clicked to view the sword, the magical
powers of it would have begun to work on him. Its spell had no cure. If sooner
or later one heard that Mr. Jaran Dithapichai were damned, for example, with an
incurable painful cancer or he had plunged into deep suicidal depression; such
bad news would be natural and rational.
และถ้า ท่านจรัล ดิษฐาอภิชัย ดวงตก บังเอิญคลิกเข้าชมมีดดาบ
อำนาจไสย-ศาสตร์มืด ก็ย่อมจะเริ่มเวอร์คเข้าโจมตีทำร้ายท่านทันที อาถรรพ์เวทดังกล่าวนั้นไร้ทางแก้
ดังนั้น ถ้าในอีกไม่ช้าไม่นาน ใครจะได้ยินว่า ท่านจรัล ดิษฐาอภิชัย โดนของ
ถูกสาปด้วยโรคมะเร็งร้ายที่เจ็บปวดทรมาน หรือท่านมีอาการจิตใจรันทดหดหู่
ดำดิ่งลงสู่นรกหลุมดำอันมืดมิด ข่าวร้ายดังกล่าวนั้นต้องถือว่าเป็นธรรมดาธรรมชาติ
และมีเหตุผล
Mr.
Ambassador, sir, you could have seen by now how deeply I have committed myself,
and even my head, to the liberty of expression and freedom of speech.
ท่านทูตฝรั่งเศสที่เคารพ ท่านย่อมเห็นแล้วว่า
ผมผูกพันลึกซึ้งเพียงใดกับ เสรีภาพในการแสดงออก และ อิสรภาพในการพูด
ถึงขนาดเอาหัวเป็นประกัน
3) A
fictitious, childish, political demo in Paris; organized as an attempt to dupe some
of the French people – but, plagued with fautes d’orthographe
การเดินขบวนหลอก
ๆ อย่างกับทารก ในกรุงปารีส จัดขึ้นเพื่อพยายามจะหลอกต้มคนฝรั่งเศสไม่กี่คน แต่อนิจจา
เดินชูป้ายประท้วงที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส เฟอะฟะดุจจะห่าลง ด้วยการสะกดผิด
Prachathai
web journal reported that Mr. Jaran Dithapichai had studied at Sorbonne, known
to many Thais for its excellence in French language. Necessarily, to prove the
point we should take a good look at Mr. Jaran Dithapichai’s French language proficiency.
หนังสือพิมพ์เว็บ ประชาไท รายงานว่า นายจรัล ดิษฐาอภิชัย
เคยศึกษาที่ซอร์บอนน์ อันเป็นสถาบันที่ในสายตาคนไทยหลายคนเห็นว่า
มีความเป็นเลิศด้านภาษาฝรั่งเศส จึงจำเป็นอยู่เองที่เราจะต้องหาพยานหลักฐาน
พิสูจน์ขีดความสามารถการใช้ภาษาฝรั่งเศส ของท่านจรัล ดิษฐาอภิชัย -คนเก่ง
ภาพจากเว็บไซด์ ประชาไท
3.1 The farthest placard on
the left wrote, “Le crime de LÈSE MAJESTÉ est une
violation grave de Droits de l’homme”.
Question: “ de Droits de l’homme” or “des Droits de l’homme”?
ป้ายประท้วงซ้ายมือสุด เขียนภาษาฝรั่งเศสว่า “Le crime de LÈSE MAJESTÉ est une violation grave de Droits de l’homme” แปลไทยว่า “อาชญากรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษย์ชน อย่างร้ายแรง” โดยเขียน การละเมิดสิทธิมนุษย์ชนอย่างร้ายแรง ว่า “La violation grave de Droits de l’homme” (de ตัวหนาผมเน้นเอง)
Question: “ de Droits de l’homme” or “des Droits de l’homme”?
ป้ายประท้วงซ้ายมือสุด เขียนภาษาฝรั่งเศสว่า “Le crime de LÈSE MAJESTÉ est une violation grave de Droits de l’homme” แปลไทยว่า “อาชญากรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษย์ชน อย่างร้ายแรง” โดยเขียน การละเมิดสิทธิมนุษย์ชนอย่างร้ายแรง ว่า “La violation grave de Droits de l’homme” (de ตัวหนาผมเน้นเอง)
ท่านจรัล ดิษฐาอภิชัย ครับ
ปฏิญญาที่ออกมาล่วงหน้า ก่อนรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ฉบับ 3 กันยายน 1791
ในระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศสเรื่อง สิทธิมนุษย์ชนและพลเมือง นั้น
เรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า “La Déclaration des droits de l'homme
et du citoyen” (ตัวหนา des ผมเน้นเอง)
เขาใช้รูปพหูพจน์ว่า des droits de l’homme ไม่ใช่ de
droits de l’homme
โปรดเทียบเคียงกับ
สำนวนการใช้ภาษาในภายหลัง ขององค์การสหประชาชาติ ที่ว่า “ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ”
ในฉบับภาษาฝรั่งเศสก็ใช้ภาษาว่า des
droits คือชื่อเต็มว่า “la Déclaration universelle des
droits de l'homme” (ตัวหนาผมเน้นเอง)
การละเมิดสิทธิมนุษย์ชน เขาก็ใช้ว่า La
violation des droits de l'homme
การใช้ de เฉย ๆ ไม่เติม “s” ตรงนี้ ผิด เฉิ่ม เสล่อ
และโคตรเบสิค เลย
3.2
When
you were in Thailand, you were against “la loi de…..”(Criminal Code of
Thailand, section 112), but once in Paris you had changed your mind and
protested against “le crime de…..”
เมื่อท่านอาจารย์จรัล
ดิษฐาอภิชัย อยู่ในประเทศไทย ท่านอาจารย์แอนตี้กฎหมายหมิ่นฯ ประมวลอาญามาตรา 112
ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษย์ชน ครั้นไปอยู่ในฝรั่งเศส
ท่านเปลี่ยนใจเป็นแอนตี้การกระทำอาชญากรรมหมิ่นฯ ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษย์ชน
From
being Red you had turned brightly Yellow.
จากที่เคยเป็นสีแดง
ท่านกลายเป็นเหลืองอ๋อย
Effectively,
were you against “la loi de…..” or against “le crime de…..” ? You did not mean
committing the lèse-majesté crime was a serious violation of human rights, did
you?
ถามสักคำเถิด
ท่านอาจารย์ประณามกฎหมายหมิ่นฯ หรือประณามการกระทำหมิ่นฯ
กันแน่ครับท่านอาจารย์จรัล?
Recent
examples of usage could clarify the matter. When Le Monde, sounds
familiar? ever read one?, wrote, “En Syrie, le crime de guerre est devenu la
norme.” http://www.lemonde.fr/idees/article/2016/11/24/syrie-le-martyre-d-alep_5037138_3232.html.
It obviously blamed “le crime de guerre”. When someone said, ”La France et le
crime de colonization”, http://www.sentinelle-droit-international.fr/?q=content/editorial-la-france-et-le-crime-de-colonisation he did not agree with such crime.
ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้
อาจช่วยให้ความกระจ่าง จาก นสพ.เลอ ม็งด์ ชื่อคุ้น ๆ ใช่มั๊ยครับ? เคยอ่านสักเล่มเปล่า?
เขียนว่า le crime de guerre,
และอีกตัวอย่างหนึ่ง จากหน้าเว็บกฎหมายในฝรั่งเศส เขียนว่า le
crime de colonization
La
confusion est totale.
สับสนสิ้นดี
ผมหมายถึงตัวท่านอาจารย์จรัลเอง นะครับ ไม่ใช่ตัวผม
3.3 Photo no. 2 as shown below, the farthest left placard said, “Non à la monarchy” while on the opposite side wrote, “Vive la République”
ภาพที่ 2 ด้านล่างสุดของแผ่นป้ายซ้ายสุด เขียนว่า “Non à la monarchy” แปลว่า “ไม่เอา ระบอบพระมหากษัตริย์” ตรงข้ามกันที่ด้านขวาเขียนว่า “Vive la République” แปลว่า “สาธารณรัฐ จงเจริญ”
Mr. Jaran Dithapichai, sir, you should not have done your spelling like a freaking idiot. The French word for “monarchy” should be written “monarchie”, in singular form.
นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ท่านไม่ควรสะกดคำภาษาฝรั่งเศสอย่างสะเพร่า โง่เง่า ไร้การศึกษาอบรม ดุจจะอีเดียดเช่นนั้น คำว่า “monarchy” ในภาษาฝรั่งเศสเขาเขียนลงท้ายด้วย “ie” แม้ในรูปเอกพจน์ ไม่ใช่ลงท้ายด้วย “y”
3.3 Photo no. 2 as shown below, the farthest left placard said, “Non à la monarchy” while on the opposite side wrote, “Vive la République”
ภาพที่ 2 ด้านล่างสุดของแผ่นป้ายซ้ายสุด เขียนว่า “Non à la monarchy” แปลว่า “ไม่เอา ระบอบพระมหากษัตริย์” ตรงข้ามกันที่ด้านขวาเขียนว่า “Vive la République” แปลว่า “สาธารณรัฐ จงเจริญ”
Mr. Jaran Dithapichai, sir, you should not have done your spelling like a freaking idiot. The French word for “monarchy” should be written “monarchie”, in singular form.
นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ท่านไม่ควรสะกดคำภาษาฝรั่งเศสอย่างสะเพร่า โง่เง่า ไร้การศึกษาอบรม ดุจจะอีเดียดเช่นนั้น คำว่า “monarchy” ในภาษาฝรั่งเศสเขาเขียนลงท้ายด้วย “ie” แม้ในรูปเอกพจน์ ไม่ใช่ลงท้ายด้วย “y”
3.4
Higher
on the same poster read, “Vive la solidarité entre le peuple
Thais & Francais”, thickened as in the poster. Mr. Jaran Dithapichai repeatedly
defied French grammar. It seemed to me that his intention to start a revolution
in the French language was real.
สูงขึ้นไปบนป้ายแผ่นเดียวกัน
เขียนว่า “Vive la solidarité entre le peuple Thais &
Francais” ทำตัวหนาตามที่เขียนบนป้าย ท่านจรัล ดิษฐาอภิชัย ยังไม่ยอมหยุดยั้งที่จะท้าทายไวยากรณ์ฝรั่งเศส ดูเหมือนว่า เจตนาของท่านที่จะทำการปฏิวัติภาษาฝรั่งเศส
คงจะเป็นความจริง
The
present grammatical status quo of the French language for the usage must have
an “s” at the end of “le” to become “les”; and must have an “s” at the end of “peuple”
to become “peuples”. The correct form, then, must be “la solidarité entre les
peuples”.
ตามสถานภาพปัจจุบันของภาษาฝรั่งเศส
สำนวนนี้ต้องเติม “s” ที่ท้ายคำว่า “le” ซึ่งจะกลายเป็น “les” และจะต้องเติม “s” ที่ท้ายคำว่า “peuple” ซึ่งจะกลายเป็น “peuples” ภาษาที่ถูกต้องจึงจะเป็น “la
solidarité entre les peuples”.
Comrade
Chai, there has been no such thing as “la solidarité entre le peuple”,
without “s” in the French language.
สำนวนว่า
la
solidarité entre le peuple ที่ไม่เติม “s” ที่ le และที่ peuple นั้น ไม่มีอยู่ในสาระบบภาษาฝรั่งเศสหรอกครับ
ท่านอาจารย์สหายชัย
3.5
Thai sprinkled with French, the journalist of Prachathai reported
in paragraph five as follows:
“While
most of the educated Thais speak Thai with a sprinkling of English, Mr. Jaran
Dithapichai’s speech mixed Thai with French instead.”
ประชาไท
รายงานว่า ขณะที่คนไทยมีการศึกษาส่วนมาก พูดไทยปนอังกฤษ แต่ท่านจรัล ดิษฐาอภิชัย
ท่านพูด ไทยปนฝรั่งเศส
WTF.
Nothing could be so cool. Holy crab, how special. Plus awesome que moi, tu
meurs. More awesome than me, you die!
อุแม่เจ้า
เป็นการผสมพันธุ์อะไรเนี้ยยย เท่กว่านี้-หาไม่มี ขี้ศักดิ์สิทธิ์ ช่างพิเศษอะไรเช่นนั้น เท่กว่าข้า แกตาย!
Mr.
Jaran Dithapichai whose French spelling and usage revolutionized French
language, spoke Thai sprinkled with words from the language of Molière. How
about that!
ท่านจรัล
ดิษฐาอภิชัย ผู้ซึ่งการสะกดภาษาฝรั่งเศสห่วยแตก
มีลักษณะเป็นการปฏิวัติภาษาฝรั่งเศส ท่านพูดไทยคำภาษาของโมลลิแยร์คำ คิดดูซิครับ
ท่านทูต
In
the youtube video interview below, which lasted fifty-one minutes and seventeen
seconds, 51:17, I watched its first fifteen minutes with high expectation to
hear shower of French. But, to my greatest disappointment, I had not
encountered one French .
ในการสัมภาษณ์
ยูทูบวีดีโอ ด้านล่างนี้ ซึ่งยาว 51 นาที 17 วินาที ผมได้ตั้งใจฟังและชม 15 นาทีแรก แต่ก็พบกับความผิดหวัง ไม่ได้ยินภาษาฝรั่งเศสสักคำเดียว
ตลอดสิบห้านาทีแรกนั้น
วีดีโอ สหายชัย
I
bore with him and let him bored me with his monotonous voice and his outdated
shit for another fifteen minutes. Again, I did not hear one French word.
Altogether, thirty minutes of the 51 minutes and 17 second video had passed.
ผมอดทนฟังท่านอาจารย์จรัล
ดิษฐาอภิชัย และยอมให้เขาสร้างความน่าเบื่อแก่ผม
ด้วยน้ำเสียงโทนเดียวและเนื้อหาขี้ที่ล้าสมัยอีกสิบห้านาที ซึ่งผมก็ไม่ได้ยินภาษาฝรั่งเศสแม้แต่คำเดียว
รวมแล้วนับได้ 30 นาทีที่ตั้งใจฟัง จากวีดีโอยาว 51 นาที 17 วินาที
After
a long meditation pause, I summoned my tolerance and listened again to the emmerder-à-mourir
video, pardon my French, for its third fifteen minutes portion, and still found
that Mr. Jaran Dithapichai had yet to produce in his speech a word of French. In
sum, I had expected a rain or a shower of French, but I found a drought.
หลังจากหยุดพักทำสมาธิยาวนาน
ผมก็เรียกความอดทนคืนมา และฟังวีดีโอขี้ ๆ อันน่าหน่ายเจียนตาย ขออภัยที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส
อีกสิบห้านาทีที่สาม แล้วก็พบว่า ท่านจรัล
ดิษฐาอภิชัย ยังพิกุลไม่ร่วงออกมาเป็นภาษาฝรั่งเศสสักคำเดียว อนิจจา ผมคาดหวังว่าจะพบฝนตก หรือฝนพรำ ๆ
แต่กลับพบแต่ความแห้งแล้ง
3.6 The revealing mystique of a revolutionary pronunciation evident: the “Internationale”
3.6 The revealing mystique of a revolutionary pronunciation evident: the “Internationale”
A minuscule window of opportunity had opened up, giving a precious clue to Mr. Jaran Dithapichai’s gift in speaking French. After forty-five minutes without a word of French, then suddenly he did pronounce one French word: “Internationale”, at video time 49:26.
หน้าต่างบานเล็ก ๆ ได้เปิดออก หลังจากทนฟังมาสี่สิบห้านาที เราก็ได้ชื่นชมอัจฉริยะการเปล่งเสียงภาษาฝรั่งเศสของ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย เขาพูดคำว่า “Internationale” ที่เวลาวีเดโอ 49.26
Thai letters are phonetic alphabets it is easy to write sound with them. Sorry for some readers for the inconvenience. His pronunciation of the word was “แอง-เตอ-นา-ช็อง-นาน”
อักษรไทยเป็นอักขระเขียนตามเสียง จึงเป็นการง่ายที่ใช้เขียนเสียง ขอแสดงความเสียใจด้วยกับท่านผู้อ่านบางท่าน นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ออกเสียงว่า “แอง-เตอ-นา- ช็อง-นาน”
Primo,
there is no such sound as, “แอง เตอ” in French. The
following are some of the “แอง +++” sounds it has:
inten ----- แอง ตัง
inté ----- แอง เต
intol ----- แอง โตล
intui ----- แอง ตุย
inter ----- แอง แต
There
is no “แอง เตอ” sound in French.
ประการแรก
เสียง “แอง เตอ” ไม่มีอยู่ในภาษาฝรั่งเศส
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของเสียง “แอง” ต่าง ๆ
inten ----- แอง ตัง
inté ----- แอง เต
intol ----- แอง โตล
intui ----- แอง ตุย
inter ----- แอง แต
Secundo, there is no “นา-ช็อง”
sound, there is only “นา-ซิ-ย็ง”
ประการที่สอง เสียง “นา-ช็อง” ไม่มี
มีแต่ “นา-ซิ-ย็ง”
Tercero,
we could learn from his pronunciation that Mr. Jaran Dithapichai could not pronounce
the “R” sound of French language, which was not Spanish “R”, or English “R”. This
was one of his handicap in communicating in French. Actually this guy could not
speak comprehensible French, at best he mumbled in the pidgin version.
ประการที่สาม
เรารู้จากการออกเสียงของ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ว่า เขาไม่สามารถออกเสียง “R” ของภาษาฝรั่งเศส ซึ่งไม่ใช่เสียง “R” ภาษาสเปน หรือ “R”
ภาษาอังกฤษ
ข้อนี้เป็นจุดบกพร่องสำคัญ ในการสื่อด้วยภาษาฝรั่งเศส ว่าที่จริง บุคคลผู้นี้พูดฝรั่งเศสไม่ได้ อย่างเก่งก็พูดแค่
งู ๆ ปลา ๆ
Grosso
modo, Mr. Jaran Dithapichai’s pronunciation of the name of the famous revolutionary
song composed by a French man , the “Internationale”, was the most moron,
shitty, de merde, de pute French pronunciation ever crossed my ears. Mr.
Ambassador could see that I not only steadfastly adhered to the liberty of
expression and freedom of speech, but I enjoyed it hugely. Perhaps this was the
reason why no country had accepted me as a refugee.
โดยรวม
การออกเสียงชื่อเพลงแห่งการปฏิวัติที่มีชื่อเสียง ประพันธ์โดยชาวฝรั่งเศส “Internationale”
เป็นการออกเสียงภาษาฝรั่งเศสที่ปัญญาอ่อน เหมือนขี้ เหมือนกระหรี่
ที่สุดเท่าที่เคยผ่านรูหูผม
ท่านทูตย่อมเห็นแล้วว่า ผมไม่เพียงแต่ยึดมั่นกับเสรีภาพในการแสดงออกและอิสรภาพในการพูดเท่านั้น ทว่า ผมยังเพลิดเพลินกับมันยิ่งนัก คงจะเป็นเพราะเหตุนี้ จึงยังไม่มีประเทศใดรับผมเป็นผู้ลี้ภัย
Finally,
to prove my sincerity and honesty in severely criticizing Mr. Jaran Dithapichai’s
French, I would like to challenge Mr. Jaran Dithapichai to a test of French
proficiency at any institution. If the result showed that his test score was
better than mine even for one point, I would commit suicide broadcasting live
on the internet and leave him as a legacy my country cottage with the small
plantation on which it was built.
ท้ายที่สุด
เพื่อแสดงความจริงใจและซื่อตรงในการวิพากษ์วิจารณ์การใช้ภาษาฝรั่งเศสของนายจรัล
ดิษฐาอภิชัย ผมขอท้านายจรัล ให้ทดสอบภาษาฝรั่งเศสด้วยกัน
ที่สถาบันภาษาใด ๆ ถ้าผลปรากฏว่า คะแนนของนายจรัล
สูงกว่าของผมแม้แต่คะแนนเดียว ผมจะฆ่าตัวตาย
ถ่ายทอดสดทางอินเตอเนต และจะยกบ้านสวนและที่สวนเล็ก ๆ ของผม ให้แก่นายจรัล
ดิษฐาภิชัย
On
the contrary, if I did get the score points doubled that of Mr. Jaran
Dithapichai, he would not have to give me anything, just die by hanging himself
under the Pont Alexandre III bridge, crossing the Seine river in Paris.
แต่ถ้าผลการทดสอบปรากฏว่า
ผมได้คะแนนมากกว่านายจรัล ถึงสองเท่าตัวขึ้นไป
นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ไม่ต้องให้อะไรผมแม้แต่สตางค์แดงเดียว ขอให้ไปตาย เสียด้วยการแขวนคอใต้สะพาน ป็ง
อะเล็กซ็อง ข้ามแม่น้ำแซนน์ กลางกรุงปารีส
The prescription of this challenge will never be interrupted or barred.
คำท้านี้ ไม่มีที่อายุความจะขาด หรือสะดุดหยุดลง หมายความว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เมื่อใดก็ได้ ยินดีเสมอ
The prescription of this challenge will never be interrupted or barred.
คำท้านี้ ไม่มีที่อายุความจะขาด หรือสะดุดหยุดลง หมายความว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เมื่อใดก็ได้ ยินดีเสมอ
3.7
The
charged revolutionary agenda of Mr. Jaran Dithapichai in
France: a sort of
shadow Foreign Minister of the Red Shirts
movement.
กิจกรรมปฏิวัติอันทรงเกียรติมากมาย ของท่านจรัล
ดิษฐาอภิชัย ในฝรั่งเศส คล้าย ๆ ท่านทำหน้าที่รัฐมนตรีต่างประเทศเงา
ของขบวนการเสื้อแดง
Prachathai
journal reported the many important revolutionary activities of Mr. Jaran
Dithapichai in France that looked like he was the shadow Foreign Minister of
the Red Shirts movement. Personnally, I congratulated him for that.
นสพ.ประชาไท
รายงานกิจกรรมเชิงปฏิวัติมากหลาย สำคัญ ๆ ทั้งนั้นเลย ของท่านจรัล ดิษฐาอภิชัย
ในประเทศฝรั่งเศส
ดูราวกับว่าท่านทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ(เงา)ของขบวนการคนเสื้อแดง ผู้วิจารณ์ขอแสดงความยินดีกับท่าน
อย่างจริงใจที่มีเกียรติได้ทำหน้าที่นี้
Paragraph
8-20 of the report summarized the notable and momentous revolutionary
activities of Mr. Jaran Dithapichai as follows.
1) Acting
as coordinator of the Free Thai for Human Rights and Democracy in Europe,
ทำหน้าที่ผู้ประสานงานขบวนการเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษย์ชนและประชาธิปไตยในยุโรป
2) Organizing
meeting among members of the Red Shirts movement and students,
จัดการพบปะระหว่างสมาชิกขบวนการคนเสื้อแดงและนักศึกษา
3) Using
mouse, keyboard and smart phone to communicate with the world about problems
facing Thailand,
ใช้เม้าส์
คีย์บอร์ด และสมาร์ท โฟน ติดต่อสื่อสารกับโลก เกี่ยวกับปัญหาที่เผชิญหน้าประเทศไทย
4) Sending
emails to update news on politics and human rights situation in Thailand,
ส่งอีเมล
เพื่อรายงานข่าวล่าเกี่ยวกับการเมือง และสถานการณ์สิทธิมนุษย์ชนในประเทศไทย
5) Meeting
with officials of European governments, private and international organization,
lobbying these institutions to act upon Thailand,
พบปะเจ้าหน้าที่รัฐบาลยุโรปประเทศต่าง
ๆ พบปะเจ้าหน้าที่องค์กรเอกชนและองค์กรนานาชาติ เพื่อโน้มน้าวองค์กรเหล่านั้น
ให้ประณามประเทศไทย
Positive
critiques: To use mouse and keyboard will not be
enough. It could make your revolution banal and even stupid. You must also use
mouse pad because mouse pad helps clarify positions of data on the monitor. To
contact the world, you should be prudent; beware, the world would scold you
back.
วิจารณ์รวม
ๆ เชิงบวกและสร้างสรรค์กันหน่อยพวก : จะใช้เมาส์
คีย์บอร์ด สองอย่างมันไม่ชัดนะครับ
การปฏิวัติจะทื่อ ๆ พาลจะโง่ ๆ ด้วยซ้ำ ต้องใช้เมาส์แพดด้วย
การวางข้อมูลจึงจะคม อนึ่งการสื่อกับโลก ก็ต้องระวังโลกมันด่ากลับด้วยนะ
His
Excellency Jaran might have thought that his pidgin French should be sufficient
to communicate with the European government officials. His understanding could
be a braggadocio or stupidly too ambitious.
ท่านจรัลคิดว่า
ภาษาฝรั่งเศสระดับ snake – snake, fish-fish ของตนเองจะเพียงพอแก่การสื่อกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลยุโรปหรือ?
ถ้าไม่โม้ ก็แสดงว่าทะเยอทะยานเกินตัว
Sending
emails all over reporting the latest political news and human rights in
Thailand; please, do it faster than yahoo news, the BBC, CNN, etc otherwise it
would be shitty.
ส่วนการส่งอีเมลส์
แจ้งข่าวล่าสุดเกี่ยวกับการเมืองไทยและสิทธิมนุษย์ชนในประเทศไทยนั้น ยังงัย-ยังงัย ก็ส่งให้ไวกว่ายาฮูนิวส์ บีบีซี
ซีเอนเอน ฯลฯ ช้านักหมามันจะคาบไปแดกซะหมด
I
do not doubt the capacity of Mr. Jaran Dithapichai to go to the headquarters of
the EU in Brussels, arriving at each floor of the building and talking to
janitors and toilet cleaners. And I did not mean to be mean here. But, to meet
with government officials of European states, officials of organizations both
private and international, and convince them to act upon Thailand would be
another matter.
ผมไม่มีข้อสงสัยคลางแคลงใจต่อขีดความสามารถของคุณจรัล
ดิษฐาอภิชัย ที่จะเดินทางไปยังอาคารสำนักงานใหญ่สหภาพยุโรป กรุงบรัซเซลส์
แต่เช้า แล้วขึ้นไปตามชั้นต่าง ๆ
ของอาคารนั้น เพื่อพบปะทักทายกับภารโรงและพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำ
ที่เขียนนี้ไม่ได้ใจดำ แต่การที่จะพบปะกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลยุโรปแต่ละประเทศนั้น
ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เหมือนเดินเข้าร้านลาบส้มตำของคนเสื้อแดงในปารีส
A
huge enigmatic riddle should be set straight. How could it be possible that all
those government officials and officials of the many organizations communicate
with Mr. Jaran D. to the point that they could act upon Thailand?
ปริศนาข้อใหญ่เบ้อเร่อ
ลึกลับยิ่งกว่าปริศนาของสฟิงค์ สมควรได้รับคำตอบตรงนี้ “เจ้าหน้าที่รัฐบาลยุโรปเหล่านั้น
กับเจ้าหน้าที่องค์กรสิทธิมนุษย์ชนเหล่านั้น จะสามารถสื่อความกับท่านจรัล
ดิษฐาอภิชัย จนถึงขั้นเข้าใจกัน ได้โดยวิธีใด?
Jesus Christ, they must all had been possessed, and superhumanly endowed with the satanic power of mind reading and telepathy.
พระเยซูคริสต์เจ้า พวกเขาเหล่านั้น คงผีเข้า ขมังเวท
มีอำนาจผิดมนุษย์ รู้วิธีสื่อด้วยอำนาจซาตาน อ่านจิตใจคนทะลุปรุโปร่ง
4) The
braggadocio photo
ภาพถ่าย โป้ปดมดเท็จ ตอหลดตอแหล แถข้าง ๆ คู ๆ
ตีบตื้น ขี้หกทั้งเพ - ไอ้สัตว์ (ภาษาใต้
ขี้หกทั้งเพ = โกหกทั้งนั้น)
Prachathai web journal reported that, “ จรัล
เล่าถึงสถานการณ์การเมืองในไทย ให้นักศึกษาฝรั่งเศสที่มาสังเกตการณ์การชุมนุม ที่ จัตุรัสสาธารณรัฐ
ปารีส 22 พ.ค. 58 ภาพโดย ดิน บัวแดง” Translation: Jaran was talking to
French students who came to observe the protest at La place de la République,
Paris, May 22, 2515”
Analysis/Critique
The
caption about the photo in thai includes “l’animal” at its end. The critic had
reluctantly reconsidered the use of “l’animal”, but with high respect for human
rights, liberty of expression and freedom of speech “l’animal” had finally
inserted with due respect. The word not only expressed “a shouting reprimand”
but also an attack, almost physically.
วิเคราะห์/วิจารณ์
คำโปรยเกี่ยวกับรูปภาพในภาษาไทย มีคำว่า “ไอ้สัตว์”
ต่อท้าย ผู้วิจารณ์คิดไตร่ตรองแล้ว
และด้วยความเคารพต่อสิทธิมนุษย์ชน เสรีภาพในการแสดงออก และอิสรภาพในการพูด
จึงได้ตัดสินใจแทรก “ไอ้สัตว์” ลงไว้ในที่สุด
คำ ๆ นี้ใช่แต่จะแสดงการตำหนิ ทว่าเป็นการแสดงออกดุจจะร้องตะโกนด่าว่า และเกือบจะเท่ากับการทำร้ายร่างกาย มีลักษณะคล้ายการทุบตี
4.1)
True to the description given under the photo by Prachathai
web journal, if we drew an imaginary triangle frame on to the photo, using
comrade Chai as its apex, the three “French students” who seemed to be
listening to comrade Chai’s pidgin French would be at the base of the imaginary
regtangle.
ช่างซื่อตรงต่อคำบรรยายใต้ภาพ ถ้าเราได้ลองจินตนาการลากเส้นสามเหลี่ยมลงบนภาพ
ใช้รูปสหายชัย ซึ่งไม่ใช่ “เช” เป็นส่วนยอดสามเหลี่ยม เราจะพบว่า “นักศึกษาฝรั่งเศส”
ผู้ดูเหมือนกำลังยืนฟังสหายชัยพูดภาษาฝรั่งเศส งู ๆ ปลา ๆ
คนกลุ่มนั้นจะอยู่ที่ฐานสามเหลี่ยมในจินตนาการของเรา
Comrade
Chai looked like he was speaking in earnest, implying that if we could hear
him, his French would by very entertainingly funny. A natural born stand-up
comedian? Oh my Gad Elmaleh beware!
สหายชัย ดูเหมือนจะกำลังตั้งใจพูดอย่างจริงจัง ส่อว่า
ถ้าเราได้ยินเสียงท่านสหายจริง ๆ ภาษาฝรั่งเศสของท่านสหาย จะต้องขำกลิ้ง ท่านสหายเป็นเดี่ยวไมโครโฟนโดยกำเนิด
หรืออย่างไร? โอ แกด เอลมาเลห์ ของฉัน
คุณโปรดระวังตัวไว้!
Nevertheless,
I am less interested in the cheap shit, de la merde bon marché, comrade Chai
was defecating. What interested me was those soi-disant “French students” as
reported by Prachathai web journal.
จะกระนั้นก็ตาม ผู้วิจารณ์ไม่ได้สนใจ ขี้ถูก ๆ
ที่ท่านสหายชัย กำลังขี้อยู่นั้น
สิ่งที่สร้างความสนใจต่อผู้วิจารณ์ ได้แก่กลุ่มคนที่ประชาไทเรียกว่า “นักศึกษาฝรั่งเศส”
4.2) The day was not a warm day.
How the three soi-disant "French
students" got dressed told us that the day, May 22, 2015, was not a warm
day. I had checked back-dated weather at www.weatherunderground.com and learned
that it was also not a sunny.
วันนั้น
มิใช่วันอากาศร้อน พิจารณาจากการแต่งกายของ
"นักศึกษาฝรั่งเศส" ทั้งสามคนนั้นสันนิษฐานได้ว่า พฤษภาคม 22, 2015 มิใช่วันอากาศอบอุ่น ผู้วิจารณ์ได้ย้อนดู อุตุนิยมย้อนหลัง ที่เว็บไซด์ www.weatherunderground.com และพบว่าวันนั้นก็มิใช่วันแดดจัด
ฤดูร้อนยังอยู่อีกไกล
4.3) Why
those three “French students” wore dark sunglasses on such a day?
เหตุใด
“นักศึกษาฝรั่งเศส” ทั้งสามคนนั้น
สวมแว่นกันแดดสีดำ ในวันที่มีอากาศเช่นนั้น?
If
Mr. Ambassador observed well, he would doubt whether those young men were “French
students”. Why did they wear the same dark sun glasses? To my eyes, they look more
like street thugs than French students in Paris. I do not think they ever
passed the “Bac”.
ถ้าท่านทูตฝรั่งเศส ประจำราชอาณาจักรไทย ได้พิจารณา
พิเคราะห์ “นักศึกษาฝรั่งเศส” ทั้งสามคนนั้น ท่านอาจนึกสงสัยว่า
ทำไมเขาใส่แว่นตาดำเหมือนกันทุกคน? ในสายตาของผม เขาแลดูคล้ายคนไร้การศึกษา
อันธพาลข้างถนน มากกว่าที่จะเป็นนักศึกษาในกรุงปารีส ผมคิดพวกเขาไม่ผ่านประกาศนียบัตรมัธยัมปลาย
หรือ “บั๊ค” ของฝรั่งเศส
4.4) Please
pay attention to the small dude(ce petit mec) on the left.
โปรดสังเกต
ชายร่างเล็ก ที่ยืนซ้ายสุด
Only
blind persons would deny the similarity of his profile to that of comrade Chai,
not Che.
จะมีก็แต่คนตาบอดเท่านั้น
ที่จะปฏิเสธว่า เค้าหน้าของเขาไม่ละม้ายแม้น สหายชัย ซึ่งในวรรณคดีไทย
มีสำนวนคอมเมนต์ลูกชาย ว่าหน้าตาคล้ายบิดา ว่า “...ละม้ายแม้น ขุนแผนพ่อ”
With
this high pixel photo, I believe that the French security service would need
not more than seven phone calls to establish the real identity of “ce petit mec”.
ด้วยภาพพิกเซลสูงเช่นนี้
ผมเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ด้านการข่าวของฝรั่งเศส ยกหูโทรศัพท์ไม่เกินเจ็ดครั้ง
ก็จะทราบว่า ชายร่างเล็กนั้น คือใคร?
4.5) The
fact would not surprise me.
ข้อความจริง
จะไม่ทำให้ผมประหลาดใจ
And it
would not surprise me at all it the French security service found out that “ce
petit mec” was in fact comrade Chai’s own son, born from his first wife and had
lived in France all along.
และผมจะไม่ประหลาดใจเลย
ถ้าหากว่าหน่วยงานข่าวกรองของฝรั่งเศสพบว่า
ชายร่างเล็กผู้นั้นเป็นบุตรชายของสหายชัย เกิดจากภรรยาคนแรก
และอยู่อาศัยในฝรั่งเศสมายาวนาน
4.6) It could
be viewed as a shoddy mise-en-scène.
ก็อาจเป็นไปได้ว่า นี่เป็นการสร้างภาพ-จัดฉาก อย่างเลว สะเพร่า
The
American had invented one great vocabulary of the century: “loser”. The
term could politely suit comrade Chai, Mr.Jaran Dithapichai. The photo scene showed
a fabricated event of a fraudulent human rights case, done by a loser.
ชาวอเมริกันได้คิดค้นคำศัพท์ที่กินใจขึ้นมาคำหนึ่ง ในศตวรรษที่ผ่านมา
คือคำว่า “คนแพ้” คำ ๆ นี้สามารถใช้กับนายจรัล
ดิษฐาอภิชัย ได้ ภาพข้างบนเป็นฉากที่จัดสร้างขึ้นอย่างสะเพร่า
เป็นการฉ้อฉลสิทธิมนุษย์ชน กระทำโดย “คนแพ้”
The
case must be brought to the light of justice through the judiciary system of
France, or the United Nations’ International Court of Justice, The Hague.
กรณีนี้ สมควรได้รับการพิจารณาจากระบบตุลาการฝรั่งเศส
หรือศาลโลก ขององค์การสหประชาชาติ ที่กรุงเฮก เพื่อพิจารณาพิพากษาคดี
5) Recommended to
Mr.Jaran Dithapichai: La Déclaration des droits de l'homme et du citoyen 1789
To
write this critique of Mr.Jaran Dithapichai, aka comrade Chai but not Che, I
had reread the Declaration of Human Rights from the French revolution of 1789 in
its original French version over and over again three times. And to my
great astonishment, and horror perhaps, I found myself in agreement with the
Declaration all in all, from its preamble to the last article. Quel horreur!
เพื่อที่จะวิจารณ์นายจรัล ดิษฐาอภิชัย
ผู้วิจารณ์ได้กลับไปอ่าน คำประกาศสิทธิมนุษย์ชนและพลเมือง ในการปฏิวัติฝรั่งเศส ปี
1789 ในต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส กลับไปกลับมาไม่ต่ำกว่าสามครั้ง แล้วด้วยความพิศวง
งงวย หรืออาจพูดได้ว่า ตกอกตกใจ ผู้วิจารณ์พบว่า ตัวเองเห็นด้วยกับคำประกาศสิทธิมนุษย์ชนฯฉบับนั้น
ทั้งหมดทั้งสิ้น ตั้งแต่อารัมภบทจนตราบเท่ามาตราสุดท้าย ว๊าย ห่นหลี!
Here
are some examples:
ต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างสองสามตัวอย่าง
Art. 1er. Les hommes naissent et demeurent libres et égaux en droits.
Les distinctions sociales ne peuvent être fondées que sur l'utilité commune.
How
could I possibly deny that humans are not born free and equal before the rights? The
doubt about the inequality of penis length and its circumference of an African
person and a Thai person has nothing to do with “égaux en droits”.
ผู้วิจารณ์จะปฏิเสธได้อย่างไรว่า
มนุษย์ไม่ได้เกิดมามีอิสระและเสมอภาคกันต่อหน้าสิทธิ เพราะว่า ข้อสงสัยเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกัน ของความยาวและใหญ่ของอวัยวะเพศชาย
ของคนอัฟริกัน กับคนไทย ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับ “เสมอภาคกันต่อหน้าสิทธิ”
ซะหน่อย
There
exists some difference from the Declaraion of Independence of the United States
of America which singularly stated that “all men are created equal”, but as a
matter of fact, as far as dick size is concerned, people are not equally
endowed.
ซึ่งแตกต่างจากคำประกาศอิสรภาพอเมริกัน ที่ระบุว่า
ชายทั้งหลายถูกสร้างมาเท่าเทียมกัน แต่ในความเป็นจริง ขนาดของหำ หาได้เท่าเทียมกันไม่
Art. 6. La Loi est l'expression de la volonté générale. Tous
les Citoyens ont droit de concourir personnellement, ou par leurs
Représentants, à sa formation. Elle doit être la même pour tous, soit qu'elle
protège, soit qu'elle punisse. Tous les Citoyens étant égaux à ses yeux sont
également admissibles à toutes dignités, places et emplois publics, selon leur
capacité, et sans autre distinction que celle de leurs vertus et de leurs
talents.
This
article comes right out of Jean-Jacques Ruisseau’s “general will”, therefore no
objection, sir.
มาตรา 6 นี้ กำเนิดตรงมาจากเรื่อง “เจตนาทั่วไป” ของ
ฌัง-ฌาค รุซโซ เพราะฉะนั้น ไม่คัดค้านครับ
Art. 11. La libre communication des pensées et des opinions est un des
droits les plus précieux de l'Homme : tout Citoyen peut donc parler, écrire,
imprimer librement, sauf à répondre de l'abus de cette liberté dans les cas
déterminés par la Loi.
Art.
11 corresponds roughly to the famous Amendment I of the American constitution,
on liberty of expression and freedom of speech. However, the approach is from
different angle. Art. 11 took on a positive way that people are free to speak
while the Amendment I stipulates that the authority connot make laws to stop
them from speaking. I totally agree with the Art. 11 which strangely enough
contains a clause of abuse of the liberty at the end.
มาตรา 11 สอดคล้องกับ การแก้ไขรัฐธรรมครั้งที่หนึ่ง
อันมีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา
เกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออกและอิสรภาพในการพูด
อย่างไรก็ดี มาตรา 11 ในคำประกาศสิทธิมนุษย์ชนฯ ในการปฏิวัติฝรั่งเศส
พิจารณาประเด็นในเชิงบวก กล่าวคือระบุว่า คนมีอิสรภาพที่จะพูด ในขณะที่
การแก้ไขรัฐธรรมนุญสหรัฐฯครั้งที่หนึ่ง มองประเด็นทางลบ คือ บอกว่าอำนาจรัฐสภาไม่มีสิทธิจะออกกฎหมายมาห้ามคนพูด อีกประการหนึ่ง เป็นแปลก แปลกแต่น่าสนใจ คือ
มาตรา 11 มีข้อความเกี่ยวกับการที่สิทธิมนุษย์ชนฯถูกละเมิด ต่อท้าย (ต่างจาก
การละเมิดสิทธิมนุษย์ชนฯ – แล้วจะทำให้กระจ่างในย่อหน้าถัดไป ครับ)
Mr.
Bill Gates in his pre-historic book, “Business @ the Speed of Thought” did ask
a group of German bankers: Do you foresee a time…when notebook computers become
computer notebook?
I
took the liberty of paraphrasing him here: Mr. French Ambassador to the Kingdom
of Thailand do you recognize when human rights abuses become abuses of human
rights?
นายบิล เกต เขียนไว้ในหนังสือยุคก่อนประวัติศาสตร์ของเขา “Business
@the Speed of Thought” ว่า
เขาได้เคยถามนายธนาคารเยอรมันกลุ่มหนึ่งว่า “คุณคาดไหมว่า สักวันหนึ่ง
คอมพิวเตอร์ที่ใช้เป็นโน้ตบุค จะกลายเป็น โน้ตบุคที่เป็นคอมพิวเตอร์”
6) An abuse of human rights?
สิทธิมนุษย์ชน ถูกละเมิด หรือ?
Je vous prie d’agréer, Monsieur, l’expression de mes salutions distinguées,
สิทธิมนุษย์ชน ถูกละเมิด หรือ?
Mr.
Jaran Dithapichai, aka comrade Chai of the Communist Party of Thailand, used to
be a member of the first National Human Rights Commission of Thailand (NHRCT),
an official organization, between July 13, 2001 – February 26, 2007.
นายจรัล ดิษฐาอภิชัย หรือที่รู้จักอีกนามว่า สหายชัย
แห่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
เคยดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติ
ซึ่งเป็นหน่วยการอย่างเป็นทางการ(ทางราชการ) ระหว่าง 13 กรกฎาคม 2544 – 26
กุมภาพันธ์ 2550
According
to the official website of the NHRCT, Mr.Jaran Dithapichai claimed that he
earned a master degree from the University of Paris 7, in history, and a higher
diploma, in political philosophy, from the University of Paris 1, Sorbonne.
ตามเว็บไซด์ทางการของ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
http://www.nhrc.or.th/AboutUs/The-Commission/Profiles-of-Commissioners
ระบุว่า นายจรัล ดิษฐาอภิชัย สำเร็จการศึกษาปริญญาไท
ประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีส 7 และได้รับประกาศนียบัตรวิชาการชั้นสูงทางปรัชญา
(การเมือง) มหาวิทยาลัยปารีส 1
(ซอร์บอน)
However to my
knowledge Mr. Jaran Dithapichai knew only pidgin French, this has made me
wonder how it has been possible that he earned those two academic credentials. Therefore
I have written a formal inquiry letter, referring to my right to know , Article
7 of the Official Information Act B.E. 2540 of Thailand, addressing the
Chairperson of the Commission, Mr. What Tingsamitr, with copies sending to the
Prime Minister – General Prayut Chan-o-cha and the French Ambassador to Thailand – H.E.
Mr. Gilles Garachon, who has the right to know according to article 21 of the said
law, which granting such right to a person who resides in Thailand, and not
limited to Thai citizen.
อย่างไรก็ตาม
ผมทราบว่านายจรัล ดิษฐาภิชัย รู้ภาษาฝรั่งเศสเพียงงุ ๆ ปลา ๆ จึงประหลาดใจว่าเขาได้รับวุฒิการศึกษาดังกล่าวได้อย่างไร ด้วยเหตุที่มีสิทธิตามมาตรา7 พรบ.ข้อมูลข่าวสารฯ
ผมจึงได้ร่างหนังสือสอบถาม ขอทราบข้อมูลวุฒิการศึกษาของนายจรัล ดิษฐาอภิชัย จากทางราชการ ถึงประธานคณะกรรมกรรมสิทธิ์มนุษยชนแห่งชาติ คนปัจจุบัน นายวัส ติงสมิตร
พร้อมกับส่งสำเนา 1) นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ 2) เอกอัครทูตฝรั่งเศส
ประจำราชอาณาจักรไทย ผู้ซึ่งเป็นทูตจากประเทศเจ้าภาพที่รับนายจรัล ดิษฐาอภิชัย
เป็นผู้ลี้ภัย และขณะเดียวกัน ท่านก็มีสิทธิรู้ข้อมูล ในฐานะผู้มีถิ่นพำนักในประเทศไทย
ตามกฎหมายข้อมูลฯ มาตรา 21
CONCLUSION
1) All criminal codes touch aspects of human
rights, even the criminal law of the biggest democracy in the world, India or even
of France. Perhaps that is why they have to be put in the open so that people
or citizen cand read and know about them. But, if one violates the law there
exist always the sanction clauses, in this light Mr. Jaran Dithapichai had not
been f*cked while he was asleep by some Mafia f*ckers. He had invited the law
keepers to sodomize him wide awake. He had given his consent. To put in other
words he intentionally violated the law.
2)
What was the purpurse of his doing
so? All men are created equal but they are not equally well-endowed; according
to James Baldin the average penis size of black men is bigger than that of
white men and that, said he, had been the cuase of so many problems in the
American society.
I agreed with the French Déclaration
des droits de l’homme that stated in its article 1 that, “Les homes naissent et
demeurent libres et égaux en droit.” Yes, egaux en droit, not in dick size.
The question remains: What was the
purpose of his violation of a Thai criminal law? The answer is the whole of
this critical blog article that has been continuously posted since March 1,
B.E.2560(A.D.2017), approximately six months ago.
I would like to zero in on the
article(section)5 of the Thai civil code, which had been drafted in analogous
to the famous Code Napoleon, that says,”Every person must in the exercise of
his rights and in the performance of his obligations, acts in good faith.”
In the exercise of his rights did
Mr.Jaran Dithapichai act in good faith?
3)
“Je m’en foutisme”, had been his
attitude in the use of the French language. With all of his French educational
credentials how come his protesting placards were full of fautes d’orthographe?
He cared and was careful only about
French money and material benefits given to him in the name of human rights
abuse.
Was human rights jackpot his
objective? He said he was going to obtain an apartment in France, in relation
to his human rights abuse performance. Only a millionaire in Thailand could
aspire to such a luxury, having an apartment in
France.
4)
Quel grand prétentieux! Muy, muy
grande hijo de puta! At video time 0500 Mr.Jaran Dithapichai said he had bad
luck to be born in Thailand. How pretentious!
This man had abused human rights to
get a “better life” with money and benefit from the French state. His was, has
been, and is a fraudulent case.
Nowaday, at any moment, there are
thousands of French people living in Thailand. On the island of Samui, one
thousand or more of French live there. We have yet to wait for one of them
complaining that he was unlucky being born in France. This fact confirms the
resident choice of Mr. Jaran Dithapichai, no? pas vrai?
5)
My lengthy critique of about
twenty-five pages is not aimed to thousands or more of readers: I just want ONE
READER, a French citizen who cares about human rights. I beseech him to take
this fraudulent human rights case to justice in France. Therefore the French
judiciary could judge the fraudulent act of Mr.Jaran Dithapichai, and strip him
of all benefits he had obtained and that he pay damages to the French people.
สรุปแล้วกันว่า บทวิจารณ์นี้ไม่ต้องการผู้อ่านร้อยคนพันคน แต่ต้องการเพียงคนฝรั่งเศสเพียงคนเดียวเท่านั้น ผู้ที่จะนำการฉ้อฉลด้านสิทธิมนุษย์ชนกรณีนี้ ขึ้นกล่าวหาฟ้องร้องในกระบวนยุติธรรมของฝรั่งเศส ให้เพิกฉอนการฉ้อฉลกรณีนี้เสีย
It is
disheartening to learn that these three decidedly creepy losers had successfully masqueraded themselves as human
rights advocates. While in fact
they are human rights abusers of the primary order.
เป็นที่น่าสะเทือนใจ ที่คนหาดีไม่ได้ และล้มเหลวในชีวิตทั้งสามคน
สามารถแสร้งปลอมตัวเป็นนักนิยมสิทธิมนุษยชน ซึ่งการกระทำนั้นคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างเอกอุ
Je vous prie d’agréer, Monsieur, l’expression de mes salutions distinguées,
ปรีชา ทิวะหุต
หลังสวน
ชุมพร
Last update: 15 สิงหาคม 2560
August 15, 2017
------------------------------------------------------------------------------------
สนใจอ่าน Open letter no. 1 เกี่ยวกับ ท่านรองศาสตราจารย์ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (ลี้ภัยในฝรั่งเศส) เชิญตามลิงก์ ข้างล่าง ขอบคุณครับ
https://pricha123.blogspot.com/2015/10/an-open-letter-to-french-ambassador-to.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น